กุบกับ กุบกับ กุบกับ
เสียงฝีเท้าม้าวิ่งกับสภาพโคลงเคลงจนทำให้รู้สึกหัวหมุนอยากอาเจียน ปลุกซื่อเมี่ยวให้ลืมตาตื่นขึ้น
ข้าอยู่ในรถม้า!!!
ซื่อเมี่ยวผุดลุกขึ้นนั่งบนเบาะนั่งที่นางเอนตัวลงนอนทันที แล้วนางก็ได้ยินเสียงพูดอย่างห่วงใยจากหญิงกลางคนที่อยู่ในรถม้าคันเดียวกันว่า
“ฮูหยิน ตื่นแล้ว ดีเหลือเกิน”
ฮูหยิน ฮูหยิน ใครเป็นฮูหยิน!!!
ซื่อเมี่ยวสับสน นางจำได้ว่าตนกำลังนอนอ่านนิยายอยู่ดีๆ ก็เกิดแผ่นดินไหว[1] นางหลบหนีออกจากบ้านไม่ทัน จึงตายอยู่ในกองเศษซากปรักหักพังของบ้านตัวเอง
พอตื่นขึ้นมาก็พบว่าตนนอนอยู่ในรถม้าคันนี้ และมีหญิงกลางคนน้ำตาคลอเบ้ากำลังจ้องมองนางอย่างห่วงใยอยู่ตรงหน้า!
ซื่อเมี่ยวสับสนงงงัน นางไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ ไม่รู้ว่าวิญญาณตนมาเข้าสิงร่างสตรีใด แต่ที่นางรับรู้คือสวรรค์มิได้พานางไปยังปรโลก แต่ให้นางได้มีชีวิตใหม่อีกครั้ง ในร่างของสตรีผู้หนึ่งที่กำลังออกเดินทางไปที่ไหนสักแห่ง
“ข้า ข้า ข้า...” ซื่อเมี่ยวพูดไม่ออก ได้แต่มองหญิงกลางคนผู้นั้นอย่างสับสนและปวดหัวยิ่งนัก
“ฮูหยินเพิ่งพ้นจากความตายมาหยกๆ คงยังเศร้าโศกเสียใจอยู่มาก ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ พอเราไปถึงเมืองหางโจวแล้ว นายท่านกับฮูหยินใหญ่คงจะดูแลคุณหนูอย่างดีเอง”
เพิ่งรอดพ้นความตายมาหยกๆ???
เมืองหางโจว???
ทำไมมันคุ้นๆจัง!!!
แล้วความคิดหนึ่งก็ผุดวาบเข้ามาในหัวของซื่อเมี่ยว นางลองเรียกชื่อหญิงกลางคนผู้นั้นว่า
“ท่านป้าจิน...”
หญิงกลางคนยิ้มออกมาด้วยความยินดีปรีดาเมื่อเห็นซื่อเมี่ยวพูดคุยกับนาง
“ฮูหยินพูดแล้ว ดีเหลือเกิน ตั้งแต่นายท่านพาเมียใหม่กลับจวนมาเย้ยฮูหยิน ฮูหยินก็ไม่พูดไม่จากับใครอีก แม้แต่กับป้า จนกระทั่งเมื่อค่ำวาน ฮูหยินตัดสินใจผูกคอตาย ล้างอายให้กับตัวเอง โชคดีที่ป้าช่วยไว้ได้ทัน”
“แล้วสามีข้าก็ไล่ข้าออกจากบ้านสินะพอรู้เรื่องนี้...” ซื่อเมี่ยวพูดต่อ เพราะนางรู้แล้วว่าตนเป็นใคร วิญญาณของนางมาสิงสถิตอยู่ในร่างสตรีใด
“เจ้าค่ะ ท่านแม่ทัพเซ็นใบหย่ากับฮูหยิน และขับไล่ฮูหยินออกจากจวน ตอนนี้เรากำลังเดินทางไปหางโจว กลับจวนสกุลซื่อเจ้าค่ะ”
น่าตลก...น่าตลกจริงๆ ซื่อเมี่ยวบอกตัวเอง เมื่อรับรู้ว่าตนมาสิงร่างของซื่ออินลี่ ตัวประกอบในนิยายที่ตัวเองอ่านก่อนตาย
ซื่ออินลี่ผู้นี้แต่งเข้าจวนแม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นซ่ง แต่สามีกลับหนีการเข้าหอไปใช้ชีวิตในค่ายทหาร จนต้องออกไปรบกับพวกต้าเหลียว ทิ้งให้นางดูแลจวนกับบ่าวไพร่และแม่สามีที่เอาแต่ใจตัวเอง พอสามีนางกลับมาหลังจากผ่านไปสองปี ก็พาสตรีที่มีใบหน้าสวยหมดจดงดงามกลับมาด้วย และแนะนำต่อนางว่าเขาจะให้สตรีผู้นี้มาพักอาศัยอยู่ในจวนในฐานะฮูหยินรองที่มีสถานะเทียบเท่ากับซื่ออินลี่ เพราะนางเป็นผู้มีพระคุณ ได้ช่วยชีวิตเขาไว้ในระหว่างที่เขาออกรบและได้รับบาดเจ็บสาหัสอยู่ที่ชายแดน อีกทั้งครอบครัวสตรีผู้นั้นก็ร่ำรวยมหาศาลเพราะเป็นลูกสาวคหบดีที่มีชื่อเสียงมากของแคว้นซ่ง
พอซื่ออินลี่รู้ว่าสามีทรยศตัวเอง ก็กักขังตัวเองไว้อยู่แต่ในเรือน ไม่พูดไม่จากับใคร ไม่กินข้าวกินน้ำ จนทำให้ท่านป้าจินเดือดเนื้อร้อนใจ สุดท้ายนางก็จบชีวิตตัวเองด้วยการผูกคอตาย แต่ท่านป้าจินมาช่วยเอาไว้ได้ทันการ เรื่องรู้ไปถึงหูแม่ทัพ...ผู้เป็นสามี เขาจึงตัดสินใจหย่าขาดจากนาง และไล่นางกับท่านป้าจินออกจากจวน
หลังจากนั้นในนิยายก็กล่าวถึงซื่ออินลี่เพียงสั้นๆว่านางก็ออกจากจวนแม่ทัพ หลังจากนั้นแผ่นดินก็ไหวขึ้นมาพอดี ซื่อเมี่ยวก็ตายอนาจโดยที่ไม่รู้ว่าจุดจบของซื่ออินลี่เป็นเช่นไร...
“ไม่เป็นไร...” ซื่อเมี่ยวหรือซื่ออินลี่พูดขึ้นมา “ในเมื่อผู้ชายดีๆหาไม่ได้ในโลกใบนี้ เช่นนี้เราสองคนก็กลับไปใช้ชีวิตที่หางโจว คอยรับใช้ดูแลท่านพ่อท่านแม่จนพวกเขาตายจากไปอย่างสงบเถิด”
“เจ้าค่ะ”
แต่ทว่า...พอพวกนางกลับไปถึงเมืองหางโจว กลับพบว่าจวนสกุลซื่อทั้งหลังถูกพระเพลิงเผาผลาญจนวอดวายไปตั้งแต่เมื่อปีที่แล้ว
พอถามจากชาวบ้านในละแวกใกล้เคียง ทั้งซื่ออินลี่กับท่านป้าจินแทบเข่าทรุด เมื่อได้ยินได้ฟังจากปากชาวบ้านพูดกันว่า
“เมื่อต้นปีที่แล้ว เนื่องจากมีการเฉลิมฉลองวันขึ้นปีใหม่ในเมือง จึงมีการจุดพลุกันทั่วเมือง ใครจะไปคิดว่าคนในจวนสกุลซื่อจะจุดพลุฉลองปีใหม่เช่นเดียวกัน แต่พลุดันไปตกบนหลังคาเรือนกลาง เกิดเพลิงไหม้ใหญ่ ปีนั้นหางโจวประสบภาวะภัยแล้งแต่ชาวเมืองยังจุดพลุเฉลิมฉลองตามประเพณี เพลิงจึงยิ่งโหมกระหน่ำลามไปทั่วทั้งจวน ดับไฟกันไม่อยู่
สุดท้าย...นายท่านนายหญิงของจวนตายอยู่ในกองเพลิงพร้อมกับบ่าวภักดีจำนวนหนึ่ง ส่วนบ่าวที่หนีรอดไปได้ก็หายสาบสูญไป ตอนนี้จวนสกุลซื่อไม่เหลืออยู่อีกแล้ว คนสกุลซื่อก็หมดสิ้นเชื้อสายสืบทอดสกุล เฮ้อ...ช่างน่าสงสารยิ่งนัก!!!”
[1] ตอนเขียนเรื่องนี้ยังไม่เกิดเหตุแผ่นดินไหวในพม่าและกรุงเทพค่ะ ขอแสดงความเสียใจกับญาติของผู้เสียชีวิตทุกท่านด้วยค่ะ