คีริน หนุ่มร่างกำยำ ผิวออกขาว สูงราว 175 ซม. เพิ่งผ่านวัยเบญจเพศมาไม่นานเมื่อช่วงต้นปี 2510 โดยเลือกที่จะทำงานเป็นนักข่าวในจังหวัดพะเยาที่เป็นบ้านเกิดของตนเอง ส่วนณาดา เธอเป็นคนกรุงเทพ มาเรียนทางด้านบัญชีในจังหวัดเดียวกับคีริน หลังจากนั้นทั้งสองคนก็เข้าทำงานที่เดียวกันในสำนักข่าวสายหมอกนิวส์ โดยณาดาอยู่เสมียนการเงิน คนทั้งสองเมื่อทำงานเดียวกัน ความสัมพันธ์ก็ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นเป็นลำดับในช่วงเวลา 4-5 เดือน ทำให้เพื่อนร่วมงานที่ยังโสดพากันอิจฉา แต่ก็มองว่าคู่นี้เหมาะสมกันดี
หนึ่งไตรมาสผ่านไป ลมเย็นจางหาย อุณหภูมิเริ่มอุ่นขึ้น หนุ่มมาใหม่วัย 25 ปี รูปร่างสูงใกล้เคียงกับคีริน เข้ามาทำงานที่สำนักข่าวสายหมอกนิวส์ เป็นวันแรก ยกมือไหว้ แนะนำตัว กับรุ่นพี่ในที่ทำงานรวมทั้งคีรินแบบขอไปที แสดงท่าทางไม่ค่อยนอบน้อมเท่าไร โยนกระเป๋าสะพายบนเก้าอี้ เอามือจับคอเสื้อสะบัดๆ ประมาณว่าร้อนมาก
ซักพักเดินไปห้องน้ำ คมเพชรสวนกับณาดาที่ออกจากห้องน้ำ สะดุดตากับความงามบนใบหน้าของเธอที่เข้ากับทรวดทรงองเอวที่เข้ากัน เมื่อณาดา มองเห็นชายที่เดินสวนมาก็แค่สบตา ขยับยิ้มมุมปากพองาม ประหนึ่งคนทักทายกันในที่ทำงานเดียวกัน และละสายตามองทางเดินไปที่โต๊ะทำงาน
ทว่า การยิ้มให้เล็กน้อยของณาดานั้น อาจทำให้คมเพชรแปรเจตนาเป็นอย่างอื่น คล้ายทำเล่นหูเล่นตากับเค้า เท่านั้นไม่พอ ยังหันหลังไปมองเธออีกครั้ง กวาดสายตาลวนลามตั้งแต่หัวจรดบั้นท้าย รูปร่างเธอช่างดูเพรียว ผมยาวตรงถึงกลางหลัง เหมาะเจาะรับกับความสูงประมาณ 165 ซม.
ตกบ่ายวันเดียวกัน ขณะที่คมเพชร นั่งศึกษางานด้านถอดเทปสัมภาษณ์ พิมพ์ข่าว ณาดาเดินมาถึงโต๊ะ ก็ได้เอาเอกสารระเบียบการทำงานมาให้คมเพชรอ่านและเซ็น แต่เค้าก็ยับยั้งชั่งใจไม่ได้ พยายามแกล้งถาม ข้อความบางประโยคในเอกสารหมายถึงอะไร ณาดาเลยต้องก้มตัวลงมาอ่านและอธิบาย กลิ่นน้ำหอมจางๆ บนคอเสื้อเธอปะทะเข้าจมูกคมเพชร ทำให้เค้าไม่ได้สนใจเอกสารที่อยู่ตรงหน้า แต่ชายตามองไปที่คอเสื้อของณาดา
##########
นานวันเข้า คมเพชรก็มักจะหาโอกาสเข้าใกล้ณาดา ในช่วงเวลาที่คีรินทำงานอยู่ข้างนอก เผลอเมื่อไรก็จะแวะเวียนมาที่แผนกงานของ ณาดา อยู่เรื่อยๆ ช่วยทำโน่น ช่วยทำนี่ แม้เธอจะบ่ายเบี่ยง และไม่เต็มใจกับการกระทำของเค้าก็ตาม
กระทั่งคมเพชร ทำงานมาจวบจนจะครบสามเดือนที่ลองงาน แต่ผลลัพธ์ก็ยังไม่เป็นที่พึงพอใจของหน้างาน วันนึงช่วงบ่ายก่อนจะส่งต้นฉบับข่าว คมเพชรนั่งถอดเทปสัมภาษณ์และเขียนลงกระดาษ แต่ก็ไม่รู้ว่าในใจเหม่อลอยอะไร ฟังเทปไป แอบยิ้มแบบมีเลศนัย พอเสร็จก็ส่งต่องานให้คีรินตรวจทาน ดูคำถูก-ผิด อีกที
จนคีริน กระทั่งได้ต่อว่ารุ่นน้อง ที่เขียนเนื้อหาข่าวมาผิดๆ แต่คมเพชรก็ยืนกรานว่า “ผมเขียนถูกแล้ว” ตัวคีริน ก็ทักท้วงด้วยน้ำเสียงที่เข้มว่า “มันไม่ถูกต้อง มันใช่ที่ไหน ไปลองฟังมาใหม่” ทั้งสองคนเถียงกันไปมาหาข้อสรุปไม่ได้ จนหัวหน้าต้องมาจัดการให้คมเพชรฟังข่าวใหม่ทั้งหมดที่อัดสัมภาษณ์กว่า 5 นาที ทำให้คมเพชร มีสีหน้าไม่พอใจคีริน ทำฮึดฮัด หันหลังกลับ ดึงกระดาษจากมือคีริน ขยำแล้วปาลงพื้น เพราะตั้งใจรีบส่งงาน แล้วจะออกจากสำนักงานตามหลัง ณาดา ไป
พฤติกรรมที่คมเพชรแสดงออกมา หลายคนในฝ่ายข่าวเห็นแล้ว ก็รู้สึกไม่ชอบกับการกระทำดังกล่าว มีทั้งส่ายหน้า ส่ายหัว ฟากฝั่ง คมเพชร ก็ไม่พอใจ กับสิ่งที่ตนเองโดนตำหนิ เหมือนเสียหน้า ต่อหน้าหลายๆ คนในที่ทำงาน มองว่า คีริน ทำให้ตัวเค้าต้องมาเสียเวลาทำงานใหม่
วันนึงขณะที่ตัวเค้ายืนสูบบุหรี่ อยู่หลังที่ทำงาน อารมณ์ความโกรธเคืองต่อคีรินยังไม่จางหาย ขณะพ่นควันออกปาก ตามด้วยการสบถออกมา แค่ให้ตัวเค้าได้ยินว่า “คีริน กูจะเล่นมึงให้ซักวัน”
เวลาล่วงเลยผ่านไปเกือบหนึ่งสัปดาห์ ณาดา เลิกงานกลับมาถึงห้องพักไม่ถึง 5 โมงเย็น ทันทีที่เปิดประตู สายตาปะทะเข้ากับภาพบัดสีของคีรินที่นอนหลับใหลกับผ้าขาวผืนเดียวห่อกาย มีสาววัยรุ่นคนนึงใส่กระโจมอก นอนตะแคงขาพาดตัวคีริน เห็นขาขาวเรียว ตั้งแต่หน้าขาเรื่อยลงมาจนถึงขาอ่อน ในสภาพอุจาดตา
จากนั้นอีกไม่นานมีชายวัยรุ่นคนนึงวิ่งตามมาถึงห้องของคีริน ก็ตกใจและร้องโวยวายกับภาพที่เห็นว่า “ชายคนนี้เอาแฟนของเค้ามานอน” “มาแอบเป็นชู้” กระทั่งมีตำรวจมาจัดการ ขณะที่ณาดาเองก็ยังช็อกและผิดหวังกับตัวคนรัก เท่านั้นแหละน้ำตาไหลนองเต็มสองแก้ม ไม่คิดเลยว่า คนรักจะทำเรื่องแย่อย่างนี้ แม้คีรินจะรู้สึกตัวขึ้นมาและพูดแก้ตัวยังไง ก็ไม่เป็นผล ณาดาได้แต่ส่ายหน้าไม่อยากฟัง ไม่ต้องการคำแก้ตัวอะไรทั้งนั้น สะอื้นร่ำไห้อยู่ตลอด และนึกไม่ออกเลยว่า ถ้าลูกในท้องของเธออีกไม่เกิน 3 สัปดาห์ ก็จะคลอดออกมา จะบอกลูกยังไงว่า พ่อของเค้าเคยถูกจับ
หลังจากคีรินถูกคุมขังอยู่ที่โรงพัก แก้วตาซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องของคีริน ก็ได้แวะเข้าไปที่ห้องพักของเขาเพื่อเก็บกวาดสิ่งของ ได้พบเศษกระดาษสี่เหลี่ยมเล็กๆ ที่จดเบอร์โทรศัพท์และมีชื่อผู้ชายเขียนไว้ ก็เลยเก็บไว้และยังได้พบซองยาที่แกะใช้แล้วตกอยู่ใต้โต๊ะ
##########
ผ่านไปไม่กี่วัน คมเพชร มาหาคีริน ที่โรงพักเพื่อขอเข้าพบเพื่อนที่ถูกขัง เมื่อคีริน เห็นคมเพชร ก็พยายามพูดให้คมเพชร หาทางช่วยให้เค้าพ้นผิด แต่คมเพชร ไม่แสดงปฏิกิริยาอะไร แค่ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบไปยังงั้น ด้วยน้ำเสียงธรรมดา ไม่มีอาการเป็นเดือดเป็นร้อน มองคีรินด้วยสีหน้าเรียบเฉย พูดแค่ว่า “ได้ๆ เดี๋ยวจะลองหาทางดู” พูดเหมือนขอไปที และก่อนจะกลับออกมาจากโซนห้องขัง คมเพชร พูดแบบเย้ยหยันให้คีริน ฟังว่า “ไม่ต้องห่วงณาดานะ เดี๋ยวผมจะช่วยดูแลให้” พอได้ฟังเท่านั้น คีรินมีสีหน้าเกิดความสงสัยกับคำพูดนั้น ตาดำกรอกไปมา มองไปที่คมเพชร ขณะเดินหันหลังจากไป คิดอยู่ในใจว่า คมเพชร จะต้องรู้เห็นอะไรกับการที่เค้าโดนจับอย่างแน่นอน
พอคมเพชร กำลังออกจากโรงพัก เป็นจังหวะเดียวกับที่แก้วตา กำลังมาเยี่ยมคีริน แก้วตาได้มองคมเพชรแบบผ่านๆ เห็นรอยแผลเป็นขีดเล็กๆ ที่แก้มขวา พอแก้วตามาถึง ก็เอาของกินให้ลูกพี่ลูกน้อง คีรินก็พูดขณะเคี้ยว ไปว่า “เมื่อกี้ คมเพชรมาหา ทำงานอยู่ที่เดียวกับพี่” แต่เค้าพูดทิ้งท้ายว่า "จะช่วยดูแลณาดาให้ทำนองนี้” แก้วตา ก็พูดสวนขึ้นมาว่า “ใช่ คนที่ใส่เสื้อเชิ้ตสีเทา ที่เพิ่งออกไปหรือเปล่า” คีริน ตอบว่า “ใช่ ทำไม เธอเห็นเค้าเหรอ” แก้วตา ตอบไปว่า “เห็น เหมือนจะเดินสวนกับแก้วอยู่นะ แต่เค้าคงไม่รู้จักแก้ว”
“เออนี่ วันนี้ แก้วไปที่ห้องพี่มา เจอของอยู่สองอย่างเป็นเบอร์โทรลงชื่อคมเพชร และซองยา แก้วว่า พี่น่าจะโดนใส่ร้าย และไอ้คมเพชรนั่น น่าจะแย่งคุณณาดาไปจากพี่” คีริน ได้ฟังที่แก้วตาเล่า ก็พอเริ่มลำดับเหตุการณ์ และค่อยๆ นึกออกว่า
“ใช่แล้ว ก่อนที่พี่จะโดนจับช่วงเย็นวันนั้น ตอนพี่กินข้าวร้านข้างทาง พอกินไปซักพัก รู้สึกเหมือนมึนๆ ออกอาการง่วงๆ ที่จำได้มีวัยรุ่นชายคนนึง เข้ามาประคองพี่ เดินไปส่งถึงห้องพัก จากนั้นก็ไม่รู้สึกตัวอีกเลย ตื่นมาก็ตกใจ ว่าทำไมตัวพี่เองถึงอยู่ในสภาพผ้าผืนเดียวกับผู้หญิงที่ไม่รู้จัก”
##########
ถัดมาอีก 4 วัน แก้วตา มาเยี่ยมคีรินที่ห้องขังในช่วงบ่าย พร้อมกับนำโอเลี้ยงใส่ถุงมาให้กิน และสนทนากันได้ไม่เกิน 20 นาที แก้วตาก็ออกจากโรงพัก กลับไปที่บ้านทำไร่ ทำสวน เพียงไม่ทันข้ามวัน ก็มีตำรวจขี่มอเตอร์ไซค์มาแจ้งแก้วตา ว่า “นายคีริน สิ้นใจแล้วเมื่อช่วงเย็น รีบไปดู” จอบที่แก้วตาถืออยู่หล่นทันที สีหน้าและแววตาของแก้วตา มีเพียงรู้สึกตกใจ แสดงอาการช็อก และตะโกนว่า “ไม่จริงใช่ไม๊ คุณตำรวจ โกหกหรือเปล่า” พูดซ้ำๆ อย่างนี้อยู่หลายครั้ง แต่ก็ไม่ได้แสดงพิรุธหรือร้องไห้ฟูมฟายมากมาย ให้ตำรวจคนนั้นเห็น เธอเบือนหน้าหนีตำรวจ พึมพำออกมาเบาๆ ว่า “ขอให้มันได้ผลจริงๆ นะ”
จากนั้นวันรุ่งขึ้น ร่างของคีริน ถูกนำบรรจุโลงไปอยู่ที่วัดแห่งหนึ่งรอการทำพิธีในอีกสามวันข้างหน้า พอถึงวันจะเผา ไม่มีใครสังเกตว่า ตะปูตอกฝาโลง มีการถอดออกและตอกกลับไปใหม่หรือไม่ แม้แต่สัปเหร่อก็มองข้ามในจุดนี้ไป ขณะที่คมเพชร ได้มาสังเกตการณ์อยู่บริเวณต้นไม้ใหญ่ในวัด ที่พอจะปิดบังร่างของเค้าไม่ให้ใครเห็นได้ และมองไปที่เมรุซึ่งกำลังเผาร่างคีริน เค้าเพ่งด้วยสายตาที่ดูสะใจ และยิ้มมุมปากนิดๆ เป็นการบ่งบอกว่า ไม่มีใครมาขวางทางรักของเค้าอีกแล้ว
คนรักเก่าของณาดา จากไปร่วมอาทิตย์กว่าๆ ต่อมาเธอให้กำเนิดบุตรสาว ผิวขาวเหมือนพ่อของเด็ก ตากลมโต พร้อมกับปานแดงรูปหัวใจที่ท้องแขนซ้าย ซึ่งมีเหมือนกับคีริน ช่างเป็นเรื่องบังเอิญยิ่งนัก แต่มันก็เป็นไปได้ เธอเลี้ยงดูเด็กน้อยเป็นอย่างดี กระท่ั่งอยู่มาวันนึง
เช้าวันหยุดอากาศแจ่มใส่ สายหมอกจางๆ พัดผ่านหลังคาบ้าน แก้วตาออกมายืนที่ชานบ้านยืดเส้นสาย เงยหน้าสูดอากาศรับกลิ่นอายต้นไม้ใบหญ้า ไม่ทันไร ได้ยินเสียงเด็กร้องอยู่ใกล้ๆ เหมือนจะอยู่ตรงไหนซักที่รอบๆ บ้าน เลยลองเดินตามหาที่มาของเสียง จนมาพบว่า มีทารกน้อยเพศหญิงถูกห่อด้วยผ้าอ้อมใส่ไว้ในตะกร้าหวาย บนแคร่ พร้อมกระดาษใบนึงที่ระบุว่า “ฉันขอฝากเด็กคนนี้ ที่เกิดจากฉันและคีริน ไว้ให้แก้วตา เลี้ยงดูแทนนะ ให้เค้าชื่อ “เรนิตา” ส่วนตัวฉันหลังจากนี้ คงจะไปใช้ชีวิตที่อื่นตามทางของฉัน ลงชื่อ ณาดา”
แก้วตา อุ้มทารกน้อยวัยเพียง 3 เดือนขึ้นมาที่อ้อมอก เธอมองเด็กน้อยกับแววตาที่ไร้เดียงสาอย่างเอ็นดู มีรอยยุงกัดบ้างตามแขน และพบว่าที่ท้องแขนด้านซ้ายของทารกปรากฏรอยปานแดงรูปหัวใจ ซึ่งมีคล้ายกับคีริน หลังจากนั้นมา แก้วตาพยายามเลี้ยงดูฟูมฟัก อย่างทะนุถนอม ราวกับเป็นลูกของตัวเองก็ไม่ปาน ขณะเดียวกันก็ยังมีความเคลือบแคลงใจ และคิดไม่ตก เหตุใดณาดา จึงเอาลูกของตัวเองมาทิ้งไว้ให้เธอเลี้ยง