สหรัฐอเมริกา
ท่าอากาศยานนานาชาติจอห์น เอฟ. เคนเนดี
“เมล พ่อขอโทษทีนะลูก!! งานนี้พ่อปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ไว้จะชดเชยให้ทีหลังนะลูก…….....” เสียงพ่อพูดมาตามสาย
“คุณคะ เครื่องจะออกแล้วนะคะ” เสียงของแม่แว่วเข้ามาในสาย
“จ๊ะที่รัก….พ่อรักลูกนะ”
“เฮ้อ พ่อกับแม่ก็ยุ่งทุกทีละคะ แถมยังโทรมาบอกช้าอีกต่างหาก นี้หนูมาถึงสนามบินแล้วนะ!”
“ไม่คิดถึงความรู้สึกของลูกสาวคนนี้บ้างเลยรึไง!”ฉันบ่นพลางเดินออกจากท่าอากาศยาน ก่อนจะเรียกรถแท็กซี่เพื่อกลับบ้าน
วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ฉันจะหยุด แต่จู่ๆพ่อกับแม่ที่มักจะเดินทางไปทำงานที่อิตาลีอยู่บ่อยครั้งก็นัดให้เธอมารับแต่กับโทรมาบอกยกเลิกเพราะเรื่องงาน
“ไม่คิดว่า วันนี้เป็นวันสำคัญกันบ้างเลยหรือไง!” ฉันบ่นเสียงเบาขณะทอดสายตามองดูวิวทิวทัศน์นอกหน้าต่างรถ
‘หนูนะคิดว่าจะได้เจอพ่อกับแม่ที่ไม่ได้เจอมาตั้ง 1 ปีเชียวน่า ปีศาจบ้างาน’
“คงคิดว่าเราเป็นลูกสาวที่เข้าใจอะไรง่ายสินะ…เฮ้อ”
นับตั้งแต่วันนั้น มันก็ตั้งอาทิตย์หนึ่งแล้วที่พ่อกับแม่ยังไม่กลับ แต่ฉันก็ชินซะแล้วที่ต้องอยู่คนเดียว ฉันก้มลงดูนาฬิกาข้อมือ ที่แม่ซื้อให้เป็นของขวัญในวันเกิดตอนอายุครบ 20 ก่อนจะลุกจากโซฟา หยิบกระเป๋าสะพายเดินออกมาจากห้อง ไม่นานเธอก็พาตัวเองมาอยู่หน้าถนนบรอดเวย์ ถนนสายหลักของแมนฮัตตัน ก่อนจะขึ้นรถประจำทางที่มาจอดรอผู้โดยสารอยู่ทุกๆ สิบห้านาที
สำหรับนักศึกษาที่นี้แล้ว พออายุย่าง 23 ก็ถือว่าอยู่มหาลัยปีสุดท้าย ช่วงนี้ก็ต้องส่งชิ้นงานก่อนจบการศึกษา ฉันเรียนทางด้านการศึกษาภาษาโดยเฉพาะ คนที่นี้ส่วนใหญ่จะใช้ภาษาอังกฤษ แต่ก็มีบ้างที่ใช้ภาษาต่างถิ่นเนื่องจากอเมริกามีคนหลากหลายเชื้อชาติ ภาษาที่ฉันชอบเรียนคืออาหรับและภาษาละติน ใช่! ไอ้ภาษานี้แหล่ะที่พ่อชอบบ่นให้ฉันฟังอยู่บ่อยครั้งว่า ‘มันไม่จำเป็น’
ไม่นานรถก็เคลื่อนมาจอดหน้ามหาวิทยาลัย ฉันลุกจากที่นั่งเดินไปจ่ายเงินก่อนจะก้าวเท้าลงจากรถพลางเดินเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัย เพื่อพบศาสตราจารย์คาร์ลอส ฮาร์สัน ครูสอนภาษาละตินและอาหรับ ภายในตึกเรียนเป็นรูปทรงสถาปัตยกรรมแบบกรีกโรมัน บนฝาผนัง และต้นเสาสูงแต่ละแห่งบอกเหล่าเรื่องราวของเหล่าเทพเจ้ากรีก ไม่นานฉันก็มาหยุดอยู่ที่หน้าประตูบานใหญ่ ก่อนจะเคาะบานประตู สอง สามครั้ง
“เข้ามาสิ” เสียงหนึ่งพูดขึ้นจากข้างในห้อง ฉันจึงผลักบานประตูและเดินเข้าไปหาเจ้าของห้องที่นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน
“นั่งก่อนสิ” เขาผายมือให้นั่งเก้าอี้ฝังตรงข้าม ขณะกำลังยกชาขึ้นจิบ
“พี่ลอสมีอะไรจะพูดกับเมลเหรอคะ” หญิงสาวเอ่ยถามขณะนั่งลงบนโซฟา
“พี่กำลังจะบอกเราเดี๋ยวนี้ละ” เขาเอ่ยพลางเดินมานั่งที่โซฟากลางห้อง
“อ้อ”
“คือว่าพี่อยากจะจ้างเมลไปช่วยงานที่บ้านเกิดพี่สักหน่อย เมลจะว่าไง?” เขาเอ่ยพร้อมกับมองหน้าเธออย่างคาดหวังว่าจะได้คำตอบที่ดีกลับมา
“ราชอาณาจักรเอมันด์?”
“ใช่”
“แล้วทำไมถึงต้องเป็นเมลละคะ” ฉันเอ่ยถามพร้อมกับยกชาขึ้นจิบ
‘รสชาติดีเยี่ยม....’
“ก็…จะว่าไงดีล่ะ งานนี้พี่ไว้ใจเมลมากกว่าใครอื่น”เขาเอ่ยพลางถามเธอ
“แล้วพี่เรย์ละคะ” เธอเอ่ยยิ้มๆ
“พี่ว่าเรย์ไม่เหมาะกับงานนี้ และงานที่จะให้เมลช่วยนะ มันคือ…” ชายหนุ่มเอ่ยอย่างลำบากใจ
“คืออะไรเหรอคะ” เธอเลิกคิ้วเชิงถาม
“คือการแต่งงานหลอกๆ กับพี่ชายของพี่” เขาเอ่ยออกไปในที่สุดและถอนหายใจอย่างโล่งอกที่สามารถพูดมันออกไปได้สักที ก่อนลอบสังเกตสีหน้าคนฟัง
“ตะ…แต่งงานกับพี่ชายของพี่ลอส!” เธอเอ่ยขึ้นอย่างตกใจ
“ใช่ !”
“เมลเนี่ยนะ!” เธอยกมือขึ้นชี้หน้าตัวเอง
“ใช่!”
“มันเกิดอะไรขึ้นที่นั่นเหรอคะ?” เธอเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“เมลน่าจะรู้นะว่า ราชอาณาจักรเอมันด์จำเป็นต้องมีทายาทสืบบัลลังก์ แต่ซายาร์ดบ่ายเบี่ยงเรื่องการแต่งงานมาตลอด ตาเฒ่าจามาลจอมแสบเลยส่งเทียบเชิญท่านหญิงที่ยังไม่แต่งงานมาร่วมงานในวังเพื่อให้ซายาร์ดเลือกสักคน แต่
ซายาร์ดกลับไม่ยอมเลือกใครเลย ตาเฒ่าจามาลเลยยื่นคำขาด หากซายาร์ดไม่ยอมแต่งงานภายในเดือนนี้หรือภายใน 1 ปี
ซายาร์ดยังไม่มีทายาทให้เขาได้ละก็ จามาลก็จะยกบัลลังก์ให้คนอื่น ซายาร์ดก็เลยมาขอความช่วยเหลือจากพี่นะสิ”
“อ้อ อย่างนี้นี่เอง” เธอเอ่ยพยักหน้าเข้าใจ
“ช่วยพี่สักครั้งเถอะนะ ถือว่าพี่ขอร้อง”
“ช่วยก็ช่วยอยู่หรอกคะ พี่ลอส แต่เมล ขอคิดดูก่อน” เธอเอ่ยพลางขบริมฝีปากสีชมพูจนแดงกร่ำอย่างจนใจ
“ให้เวลา 1 วัน ไม่ขาดไม่เกิน”
“น้อยไปคะพี่ลอส นี้มันงานใหญ่เลยนะ ตบตาคนทั้งประเทศ พี่ชายพี่ลอสตำแหน่งเล็กซะที่ไหน” เธอเอ่ยด้วยสีหน้าบึ้งตึง
“ให้เวลา 3 วันก็ได้ ไม่เกินนั้นนะ”
“ตกลงค่ะ”