Mr. Clatyton's story: คุณชายเคลย์ตัน
ไร้สังกัด
Mr. Clatyton's story: คุณชายเคลย์ตัน
ไร้สังกัด
Skyler
ผมเคยเป็นคุณชายตระกูลดังร่ำรวย แต่นั่นมันก็ร้อยปีมาแล้ว ตอนนี้ผมเป็นแค่คนธรรมดาที่ทำมาหากินกับความตายของตัวเอง แน่นอนว่ามันเต็มไปด้วยทรมาน แต่ไม่เคยมีครั้งไหนที่ตายสำเร็จเสียที คงจะไม่แปลกที่ผมยังดูเหมือนคอายุยี่สิบปลายๆ สามสิบต้นๆ ผมทำมาหากินกับความตายของตัวเองอยู่ดีๆ ก็มีคดีฆาตกรรมเกิดขึ้นมากมายในเมืองที่ผมอาศัย พวกตำรวจไม่ได้เรื่องหาเรื่องให้ผมได้ทุกวี่วัน กระทั่งจู่ๆก็มีศพคนตายมานอนอยู่ในห้องใต้หลังคาบ้านผมเสียนี่ ผมไม่ได้เผลอไปฆ่าใครแน่ๆ แล้วจะมีใครมาฆ่าผมด้วยไหม ตอนนี้ไรท์กำลังอัพเรื่องนี้ลงใน dek-d ให้เท่ากับใน hongsamut แต่ในdek dเป็น version rewrite ตามไปรออ่านกันได้จ้า
  • 18 ตอน
  • 6,101
นิยายโดย
  • 2 คนติดตาม
บทนำ

กล้องวิดีโอพร้อมขาตั้งกล้องถูกตั้งไว้อย่างดีที่เกือบปลายสุดของพนังห้องด้านหนึ่ง กล้องอีกตัวตั้งสำหรับจับภาพด้านข้าง พรมสีเลือดหมูวงกลมเปื้อนฝุ่นขนาดใหญ่วางนอนอยู่กลางห้อง เก้าอี้ไม้สูงราวเจ็ดสิบเซนติเมตรตั้งอยู่บนพรม ด้านบนเพดานเป็นขื่อไม้พาดจากพนังห้องด้านหนึ่งไปยังอีกด้านหนึ่งมีเชือกฟางผูกคล้องลงมาเป็นห่วง ฉากจำลองสถานการณ์ที่เคยเกิดขึ้นถูกจัดไว้อย่างดีตามที่ผมต้องการ ผมกดปุ่มบันทึกวิดีโอที่กล้องวิดีโอทั้งสองตัว ก่อนจะเดินไปหยิบหน้ากากสีขาวเรียบมาใส่ ผมไม่ต้องการให้คนรู้ว่าผมเป็นใคร เกรงว่าสิ่งที่ผมกำลังทำอยู่นี้ อาจทำให้มีคนตามหาตัวผมกันให้ควั่ก แล้วกลายเป็นเรืองใหญ่

“สวัสดีครับทุกท่าน นี่เป็นการบันทึกวิดีโอแรกของผม คุณอาจจะคิดว่ามันเป็นการแสดงหรือมายากล ผมขอเตือนไว้อย่างหนึ่งด้วยความหวังดี” ผมเริ่มพูดเมื่อออกไปยืนอยู่หน้ากล้อง

“ผู้ชมที่มีอายุน้อยกว่าสิบแปดปีควรได้รับคำแนะนำ"

เสียงผมสั่นน้อยๆในตอนท้าย พร้อมกับใจที่เต้นตึกตัก ใบหน้าร้อนผ่าว พยายามจดจ่อไปที่หน้ากล้องข่มความตื่นเต้นไว้ภายใน ผมรับรู้ได้ถึงอาการมวลท้องแบบแปลกๆ แต่ก็สบายใจไปเปราะหนึ่งเพราะหน้ากากสีขาวสะอาดที่สวมใส่ปิดบังใบหน้าไว้

“ผมกำลังยืนอยู่ในห้องใต้หลังคา ที่คุณเห็นอยู่ด้านหลังเบื้องบนผมนี่คือเชือกฟางที่ผูกอยู่และเก้าอี้ไม้นี่ ผมคิดว่าคุณน่าจะพอเดากันได้แล้วนะครับว่าผมกำลังจะทำอะไร และอะไรกำลังจะเกิดขึ้นถัดจากนี้” ผมเดินขึ้นไปยืนบนเก้าอี้ พร้อมกับเขย่งสอดศีรษะตัวเองเข้าไปในห่วง

“สาบานว่ามันคงไม่เจ็บเท่าไร เชิญรับชมได้เลยครับ”

ผมเอาคอพาดเข้าไปในห่วง แล้วเตะเก้าอี้ทิ้งอย่างไม่ลังเล เชือกฟางกดรัดผมที่คอหอยจนจุกแน่น เท้าสองข้างลอยอยู่เหนือพื้น ความตึงเครียดบีบขึ้นมาถึงหัวสมองจนจะระเบิด หัวใจเต้นระรัว ผมเริ่มดิ้นพล่านอ้าปากพยายามสูดหายใจ ผมยกมือขึ้นไปเหนือห่วงที่คอและรูดให้มันรัดรอบคอผมแน่นขึ้น แบบนี้มันทรมานเกินไป ยิ่งนานยิ่งทรมาน หัวใจผมเริ่มเต้นช้าลงๆ เรี่ยวแรงที่มีเริ่มหมด ผมรู้สึกตึงไปทั้งหน้า มันคงบวมเป่งคั่งเลือด ศีรษะก็แทบจะระเบิด ราวกับถูกบีบเค้น ถ้าผมถอดหน้ากากออก ใบหน้าผมคงเหมือนอึ่งอ่างตัวสีม่วงคล้ำเป็นแน่ ผมพยายามอ้าปากหายใจแต่มันรู้สึกแน่นเหลือเกิน ขาผมยังดิ้นกระแด่วไปมา แต่ไม่นานผมก็นิ่งลง อ้าปากพะงาบๆ ตัวแข็งเกร็งและภาพที่ ดับมืดสนิท

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไร ผมตื่นขึ้นมาพร้อมกับหายใจเฮือก สูดอากาศเข้าเต็มปอด เท้าสองข้างกวัดแกว่งไปมา ดิ้นพลิกตัวด้วยความตื่นกลัว เท้าสองข้างยังลอยเท้งอยู่เหนือพื้น ทันทีที่ตั้งสติได้ ผมรีบปลดเลื่อนเชือกออกให้หลวม และใช้กำลังทั้งหมดที่มียกตัวลอดหัวออกจากห่วงด้วยความทุลักทุเล ผมล่วงตุบลงมายืนโซซัดโซเซขาอ่อนแรงก่อนจะล้มลงไปนั่งกับพื้น พร้อมกับอ้าปากสูดหายใจเข้าไปหลายเฮือกจนน้ำมูกน้ำลายไหลย้อยหยดออกมา ผมปาดมันด้วยหลังมืออย่างลวกๆ พยายามตั้งสติอีกครั้ง เมื่อรู้สึกว่าใบหน้าและศีรษะไม่ได้เครียดเกร็งจึงคลำชีพจรตัวเองที่ข้อมือ มันยังคงเต้นรัวถี่ ผมปล่อยให้ตัวเองนั่งหายใจอีกสักพัก จนแน่ใจว่าร่างกายเข้าสู่สภาวะปกติแล้วจึงไปสำรวจสภาพตัวเองในห้องน้ำ

ภายใต้หน้ากากสีขาวเรียบนั้น ใบหน้าผมบวมคล้ำคั่งเลือดจนเป็นสีม่วง รอบคอมีรอยแดงรัดพาดเป็นลายเชือกที่เสียดสีไปมากับผิวเนื้อ มันเริ่มแสบและคันยิบเมื่อผมเอามือไปแตะ หน้ากากสีขาวถูกสวมกลับเข้าดังเดิม ก่อนที่ผมจะเดินกลับเข้ามาหน้ากล้องอีกครั้ง ชี้ให้เห็นรอยแดงที่คอ

“คุณเห็นตรงนี้ไหมครับ รอยเชือกเมื่อครู่ที่รัดรอบคอ มีถลอกๆบ้างเล็กน้อย มันเริ่มแสบๆแล้วด้วยนิดหน่อยนะครับ ผมขอจบเทปแรกไว้เท่านี้ ไว้มาติดตามต่อกันเทปหน้าๆ สามารถติชมและเสนอแนะได้ที่คอมเม้น ผู้ชมที่ดีไม่ควรเลียนแบบ สวัสดีครับ”

ผมกดปุ่มหยุดบันทึก เก็บกล้องทั้งสองตัวมามานั่งกดย้อนดู เวลาที่ใช้ทั้งหมดร่วมสิบห้านาที ช่วงเวลาตั้งแต่เริ่มบันทึกจนผมแน่นิ่งไปใช้แค่ห้านาที และอีกเกือบสิบนาทีกว่าจะตื่นรู้ตัว นั่นเป็นสิ่งที่ผมไม่เคยรู้มาก่อน ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าการกระทำนี้จะทำให้ผมตายจริงหรือไม่ เพราะที่ผ่านมาผมลองวิธีนี้มาเกือบสิบครั้งเห็นจะได้ แต่ผมก็ยังสามารถมานั่งบันทึกวิดีโอได้อยู่ตรงนี้

วิดีโอนี้สมบูรณ์แบบในตัวมันเอง ผมไม่ต้องทำมันซ้ำสองเพื่อแก้ไขข้อผิดพลาด แต่สิบห้านาทีอาจจะยาวไปสำหรับคนยุคนี้ที่ชอบอะไรเร็วๆและง่ายๆ ผมจึงนั่งตัดต่อ (เรียกว่าคลำหาวิธีทำจะดีกว่า) อีกกว่าสองชั่วโมง เพิ่มคำว่า”ผู้ชมที่มีอายุน้อยกว่าสิบแปดปีควรได้รับคำแนะนำ” และ “ไม่ควรลอกเลียนแบบ” กับเอาช่วงที่ผมไม่ได้สติออกไป แค่ให้ผู้ชมเห็นว่าผมหมดสติไปเท่านั้นน่าจะเพียงพอ และตัดกลับมาที่ตอนผมชี้ให้ดูรอยที่ลำคอ

ผมรีเพลย์วิดีโอที่ตัดต่อเสร็จบนหน้าเว็บเพจตัวเอง นั่งชื่นชมมันอยู่กว่าชั่วโมงด้วยความภาคภูมิใจ ไม่ได้สังเกตเลยว่าเวลาล่วงมาเกือบห้าโมงเย็น หวังว่าผู้ชมคงจะชอบก็แล้วกัน ให้คุ้มค่ากับเวลาที่ผมทุ่มลงไป หน้าจอโน้ตบุ้คถูกพับปิดลง ได้เวลาที่ผมต้องไปพักฟื้นสำหรับการแสดงครั้งต่อไปในอีกสามวัน นั่นหมายถึงหน้าที่บวมคล้ำดีขึ้นและรอยที่คอจางลง อาหารมื้อเที่ยงถูกลืมไปเสียสนิท ส่วนอาหารมื้อเย็นนั้น ผมคงต้องกินน้ำก๊อกที่บ้านล้างท้องไปก่อน แต่ใช่ว่าผมจะตายเพราะอดอาหารเสียเมื่อไร มันคงน่าขันสิ้นดี