กลพยาบาท จันทร์ซ่อนเงา
ซาบซึ้งตรึงใจ
กลพยาบาท จันทร์ซ่อนเงา
ซาบซึ้งตรึงใจ
ฤดีวัลย์
"ก็ในเมื่อความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย แล้วจำเป็นหรือที่ ก้องปฐพี ฤทธิ์นาคา จะต้องป่าวร้องให้โลกรู้ถึงความบริสุทธิ์ผุดผ่องในใจ" ปณิธานนี้ยังคงใช้ได้เสมอ ถ้าเจ้าสิ่งที่เรียกว่าความจริงนั้นจะไม่ทำอันตรายไหมแก้ว คุณหมอสาวใจเด็ดที่เขาอยากเด็ดหัวใจเธอมาครอง และหากความชั่วไม่อาจถูกตัดสินได้ถ้าความจริงยังถูกซ่อนเร้น ความตายเท่านั้นจะกลายฉากสุดท้ายของทุกชีวิต การเปิดเผยความจริงเท่านั้นคือทางออกของเงื่อนงำปริศนาที่ ซ่อนไว้ซึ่งแรงแห่งไฟพยาบาทที่แม้แต่ความรักก็ไม่อาจลบเลือน ภาคต่อของ พันธะลวง ลมห่วงรัก จากเวบเด็กดี
  • 8 ตอน
  • 2,161
นิยายโดย
  • 1 คนติดตาม
บทนำ

ดวงตาคู่งามดั่งตากวางของหญิงสาวสะท้อนแสงจันทร์นวลกระจ่าง เบื้องหน้าของเธอคือม่านละอองน้ำสีรุ้งอันเกิดจากสายน้ำตกกระทบโขดประกายสีเงินยวง เป็นที่อาจทำให้หัวใจของผู้ที่ได้เห็นแช่มชื่นเอิบอิ่ม ทว่าหัวใจของเธอกลับมีแต่ความทุกข์ระทม แค่ฟังเสียงน้ำตกกระทบผาก็เศร้าโศกจนอยากหลั่งน้ำตา

เธอกับเขาผูกพันลึกซึ้งครั้งแรกที่นี่ แต่เขากำลังจะเดินเข้าสู่ประตูวิวาห์กับผู้ที่เหมาะสมกัน ส่วนเธอก็ได้เป็นเพียงนางบำเรอในคืนอ้างว้าง จะโทษใครได้เล่าถ้าไม่โทษหัวใจอัปลักษณ์ผิดมนุษย์ธรรมดาของตัวเอง


‘จนกว่าจะถึงวันนั้น เราจะแหงนมองท้องฟ้ายามค่ำคืน ระลึกถึงสายใยที่ผูกพันกันอย่างไม่มีทางตัดขาด แม้จะหมดสิ้นลมหายใจ ดวงจันทร์และดวงดาวจะอยู่เคียงข้างกันตลอดไป’


เธอกล่าวคำพูดเสียงแผ่วคล้ายเห็นตัวอักษรเหล่านั้นเรียงร้อยอยู่บนน่านฟ้า หลับตาแล้วยกสองมือขึ้นแนบประทับหน้าอกสัมผัสจังหวะของลมหายใจ บอกตัวเองว่าพร้อมแล้วที่จะเป็นหนึ่งเดียวกับแดนดินแสนรัก ขอให้ผาชันแห่งน้ำตกแห่งรับดวงวิญญาณของเธอสู่ห้วงนทีไปพร้อมกับชีวิตบริสุทธิ์ในครรภ์ที่เขาไม่ต้องการ จากนั้นก้าวเท้าเรียวงามล่วงล้ำสู่สายน้ำเย็น

เปรี้ยง!

ทว่าเสียงปืนที่ดังแว่วในป่าแทรกแซงความเงียบสงัดหยุดขาบางให้ชะงักงัน ดวงตาคู่งามหันกลับไปทางฝั่งเห็นดงไม้ใต้เงามืดสั่นไหว จนเมื่อมีลำแสงนวลของดวงจันทร์ฉาดฉายลงมากระทบเงา ปรากฏเป็นร่างสูงใหญ่ของชายฉกรรจ์เจ้าของดวงตาทมิฬกระแสความเย็นเยือกก็แล่นปราดเข้าสู่หัวใจหญิงได้ดียิ่งกว่าธารน้ำเย็น

‘นะ... นายพนา’ ปากอิ่มสั่นขยับเสียงแหบเอ่ยนามของมหาโจรใจโฉด

เปรี้ยง!

ร่างบางสะดุ้งเฮือกในตอนที่ได้ยินเสียงปืนครั้งที่สองดังใกล้กว่าเดิม ดวงตาคู่นั้นก็กร้าวขึ้นกว่าเดิมเช่นกัน จึงก้าวเท้าถอยห่างด้วยหัวใจเต้นสั่นรัวราวลูกกวางผจญพญาเสือ

แต่ในทุกก้าวที่เขาขยับขาล่วงสู่ห้วงน้ำ คือในทุกก้าวที่ถอยเท้าห่างออกไป และเมื่อสุดเขตแผ่นดินที่เท้าเหยียบย่ำ ร่างบางก็ถลำลึกไม่อาจสัมผัสพื้นแผ่นดินจนต้องใช้ทั้งมือและขาพุ้ยตีน้ำพยายามประคองตัวให้ลอยคอละล่องเหมือนลูกหมาหาทางรอด

ปากของเธอเริ่มปริ่มน้ำ จมูกก็ค่อย ๆ จมลงตาม หากจะร้องบอกให้เขาช่วยละก็ เขาคงเลือกกดหัวเธอให้ดำดิ่งหมดลมหายใจ ซึ่งมันก็ไม่ต่างกันเลยกับที่เขาแหวกว่ายพาร่างกายใหญ่หนาเข้ามาใกล้แล้วคล้องคอเธอไว้ด้วยลำแขนแกร่งราวกับเหล็ก

‘ถ้าส่งเสียงแค่เพียงนิด ฉันจะจับหัวเธอกดน้ำ’

ช่างประจวบเหมาะจริง ๆ ที่เธอกำลังต้องการฆ่าตัวตาย แต่ไม่ได้อยากถูกใครฆาตกรรม มือบางจึงเกาะเกี่ยวลำแขนใหญ่แน่น ตะลีตะลานให้จมูกอยู่เหนือน้ำ เป็นการแสดงออกถึงความโง่เขลาให้เขารู้ว่าเธอว่ายน้ำไม่เป็น

‘สูดลมหายใจให้ลึกที่สุดปอด’

คำสั่งเสียงเข้มทำให้เธอทำตามอย่างเสียไม่ได้ แล้วที่เขาบอกให้สูดหายใจลึกก็ไม่ได้สื่อความหมายว่าเขาจะพาเธอดำดิ่งลงไปใต้น้ำ แม้จะพยายามตะเกียกตะกายแต่เขากอดเธอให้แน่นราวโซ่ตรวน แล้วพาว่ายทวนกระแสธารามืดมิด กระทั่งลมหายที่กักเก็บไว้ใกล้จะหมดลงจึงได้โผล่พ้นเหนือน้ำเพื่อสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่

‘ลุกขึ้นเร็ว’

ด้วยกำลังเหนือกว่าจึงไม่ยากเลยที่จะขืนหญิงสาวให้ยอมจำนนต่อการฉุดลากขึ้นฝั่ง แต่เมื่อเท้าได้เหยียบย่ำบนผืนธรณี ร่างใหญ่ก็ทรุดตัวนั่งหอบหายใจพร้อมกับพาเธอล้มไปด้วยกัน น้ำที่หยดออกจากเสื้อชื้นของเขาปนเลือดสดโชยกลิ่นคาว ใบหน้าเหี้ยมซีดปากสั่น แต่ดวงตายังคงความแข็งกร้าวจับจ้องมองมาอย่างมาดร้าย

เขากำลังบาดเจ็บ แต่เธอไม่จำเป็นที่จะต้องสนใจ บอกตัวเองแล้วพยายามสะบัดแขนออกจากการเกาะเกี่ยว แต่เขากลับกระชากเธอลงไปนอนแล้วขึ้นคร่อม จากนั้นตรึงข้อมือบางทั้งสองไว้เหนือหัว

‘อย่าทำอะไรฉันเลย แม่ฉันแก่แล้ว ฉันต้องดูแลแม่’ เธอวิงวอนตัวสั่นเทิ้มต่อแววตาของชายที่จ้องมองราวกับเสือจ้องเหยื่อ

‘แต่จากที่เห็นก่อนหน้า ดูเหมือนว่าเธอกำลังจะลาแม่ตาย’ เขาแสยะยิ้มเยือกเย็น

หญิงสาวเม้มปากสนิทมองแววตาหยันหยามของอีกฝ่าย ในใจก็คิดว่าถ้าเธอกระแทกหมัดเข้าที่บาดแผล ก็อาจล้มเขาได้โดยไม่ต้องออกแรง แต่ก็ทำได้แค่ในความคิดเพราะเขาชักมีดพกปลายคมที่เหน็บเอวออกมาแล้วจ่อเข้าที่คอ

‘เธอเป็นคนในหมู่บ้านชนเผ่า เธอต้องรู้จักหมอไหมแก้ว’ เขาเอ่ยเสียงแหบพร่าสลับอาหารหอบหายใจ ‘พาหมอไหมแก้วมารักษาฉัน’

‘ทำไมฉันต้องช่วยแกด้วย’ เธอปฏิเสธ แม้เสียงจะไม่แข็งนักแต่ไม่อยากพาความยุ่งยากใจไปให้คุณหมอสาว ทุกกินบนเรือนขี้บนหลังคาของคุณหมออยู่แล้ว

‘ถ้าอย่างนั้น...’ เขาหยุดพูดประหนึ่งอยากสูดลมหายใจลึก ก่อนเอ่ยต่อพร้อมกับกระชากร่างบางขึ้น ง้างมีดเตรียมปักลงบนหน้าอก ‘ก็ตายเสียให้สมใจ แล้วฉันจะตามไปจัดการแม่เธอกับหมอไหมแก้วอีกคน’

‘อย่า ฉันยอมแล้ว!’ หญิงสาวก็จำต้องเปลี่ยนใจ แม่นั้นสำคัญเสมอ หมอไหมแก้วก็เป็นผู้ที่ทุกคนรัก แต่เธอก็ไม่ต้องการให้ทั้งสองต้องเดือดร้อน

‘แกต้องสัญญากับฉันก่อนว่าถ้าฉันช่วยแกแล้ว จะไม่ทำร้ายแม่ฉันกับหมอไหมแก้ว’ จึงเรียกร้องของคำสัญญา

เสียงกัดฟันกรอดนั้นเกิดจากความโกรธเกรี้ยวที่ถูกยื่นข้อเสนอหรือเป็นเพราะบาดแผลที่เริ่มสร้างความร้าวรานมากขึ้นทุกที แต่ข้อเสนอที่หญิงสาวหยิบยื่นให้มันไม่ได้ทำให้ตายในวันนี้ จึงจำต้องเอ่ยคำที่โจรเช่นเขามัธยัสถ์เอาไว้ใช้เวลาจำเป็น

‘ฉันสัญญา’


“ผมสัญญาว่าจะตามล่าหาตัวสมุนนายพนาที่เหลืออยู่จนสิ้นซาก!”

หลังเสียงประกาศกร้าวของนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ที่ให้สัมภาษณ์ครั้งสุดท้ายหลังจากได้เบาะแสสำคัญของคดีดัง มือบางก็กรีดนิ้วลงบนปุ่มรีโมทปิดโทรทัศน์ที่กำลังฉายรายการข่าว แล้วเลื่อนดวงตาลงมองรูปภาพของมหาโจรผู้จบชีวิตของตนด้วยการฆ่าตัวตายหนีความผิดทางอาญาร้ายแรงตามข่าวที่เขียนบนหน้าหนังสือพิมพ์

หลังจากที่การปฏิบัติการพิเศษนำทีมโดยสารวัตรอัชวินนำกำลังบุกทำลายค่ายโจรได้สำเร็จ และปลดปล่อยผู้ที่ถูกลักพาตัวเพื่อนำไปตัดอวัยวะขายให้เป็นอิสระแล้ว หน้าที่สำคัญต่อจากนี้ของเหล่ามือปราบก็คือการกวาดล้างสมุนโจรใจชั่วที่หนีรอดจากการจับกุมคราวนั้น

ถัดจากพาดหัวข่าวลงมาเป็นรูปของนายพนามหาโจรตัวร้าย และที่ข้างกันนั้น ปรากฏภาพถ่ายไม่งามตาของศพหญิงสาวชาวชนเผ่านางหนึ่งที่พบบนเตียงผู้ป่วยในบ้านไม้กลางป่า

เนื้อหาข่าวบอกว่าคุณหมอสาวท่านหนึ่งให้การกับทางตำรวจว่าผู้ตายคืออดีตผู้ช่วยงานวิจัยสมุนไพรที่ถูกนายพนาฉุดตัวไปในอดีต แต่จากการพิสูจน์ทางนิติวิทยา ผู้ตายเสียชีวิตนานแล้วด้วยโรคมะเร็ง ทว่านายพนายังเชื่อมั่นว่าจะรักษาเธอหายได้ได้ด้วยการปลูกถ่ายอวัยวะ

และนี่เป็นเหตุผลที่นายพนาก่อเหตุสะเทือนขวัญลักพาตัวประชาชนเพศหญิงไปเพื่อส่งอวัยวะให้องค์กรเถื่อนทำการทดลอง

“ไอ้เสี่ยบัดซบนั่นเอาแต่มั่วกามจนเกือบทำงานพัง!”

เสียงแหบห้าวดังขึ้นหลังจากเปิดประตูห้องเข้าพา แล้วพกพาเสียงดนตรีที่ดังจากลำโพงด้านล่างของผับใหญ่ให้เล็ดลอดดึงดวงตาคู่งามพิสุทธิ์ละจากหน้าข่าวหันไปมอง

“ฉันเบื่อที่จะทำงานร่วมกับมัน อยากเขี่ยมันไปไกล ๆ เสียที” เจ้าของคำพูดบอกเธอแล้วก้าวขาเดินเข้ามาวางมือทั้งสองข้างบนโต๊ะ จ้องมองด้วยดวงตาขุ่นเคือง “เรารอมานานแล้วนะ แล้วฉันก็เริ่มอยากปลดตัวเองจากคำสั่งสุดท้ายของนายแล้ว”

หล่อนรู้ว่าในหน่วยตาเคร่งขมึงคู่นั้นกักเก็บความข้นแค้นไว้นานแค่ไหน และมันคงถึงเวลาแล้วที่ต้องทวงคืนแล้วจริง ๆ

ร่างอรชรในชุดเดรสสีดำลุกขึ้นยืน ก้าวเดินไปหยุดที่หน้าต่างฉาบฟิล์มดำหนาทึบแต่สามารถมองเห็นภาพการเคลื่อนไหวของนักท่องราตรีทั้งหลายรวมไปถึงนางระบำยั่วยวนบนเวทีได้ชัดเจน

“พวกมันอยู่ใกล้มือแล้ว จะรออะไร” เสียงเข่นเขี้ยวยังดังแทรกซึมเข้าสู่ความคิด “อย่าลืมสิว่าที่เราทำมาตลอดก็เพื่ออะไร”

หล่อนหยุดนิ่งหลับตา แล้วผ่อนลมหายใจ ทวนภาพเหตุการณ์มากมายที่ทำให้ความแค้นฝังลึกหลั่งรินท้วมหัวใจ นึกถึงใบหน้าของไอ้คนเลวที่สร้างพรากทั้งชีวิตและความรักให้สูญหายไปจากตัว

“เราจะทำให้มันเจ็บปวดทรมานเหมือนที่มันเคยทำกับคนที่เธอรัก” เสียงพูดแหบห้าวใกล้เข้ามาทุกที

“พวกเขาทรมานอย่างไร มันก็จะได้คืนเป็นร้อยเท่าพันเท่า” หล่อนเปรยคำพูดออกมาราวกับละเมอ หายใจหอบหนักจนเนินอิ่มขยับขึ้นลง เปลือกตาบางลืมขึ้นฉับพลัน เผยดวงตาที่มีประกายไฟลุกวาว เปล่งเสียงพูดหนักแน่น

“ฉันจะเอาเลือดหัวมันมาล้างความแค้นของฉัน!”