ยิ่งชีวิต
ดราม่าน้ำตาริน
ยิ่งชีวิต
ดราม่าน้ำตาริน
คนเราอาจรักได้สุดใจเสมอดวงจิต แต่ยังมีบางสิ่งที่เหนือกว่ารัก ทั้งยังต้องปกปักรักษาไว้...ยิ่งชีวิต
  • 19 ตอน
  • 4,478
นิยายโดย
  • 1 คนติดตาม
บทนำ

ต้นฤดูหนาวปี พ.ศ. 2487 ท้องฟ้าคืนแรมเช่นวันนี้ควรมืดมิด แต่กลับสว่างไสวด้วยพลุนำทาง เจ้าม้าป่ามัสแตงของกองทัพอากาศอังกฤษสี่ลำบินนำฉวัดเฉวียนชี้เป้าเหนือสะพานพระพุทธยอดฟ้าก่อนจะพุ่งทะยานห่างไป หากยังไม่ทันลับสายตา เสียงกระหึ่มของเครื่องยนต์ขนาดมหึมาก็ดังนำก่อนที่เพชฒฆาตลอยฟ้าบี-29 ของกองทัพอากาศสหรัฐฯ จะปรากฏสู่สายตา เห็นเป็นเงาทะมึนบนท้องฟ้านับสิบลำ

ด้วยระยะหลังนี้การทิ้งระเบิดของฝ่ายสัมพันธมิตรมักทำในตอนกลางวัน ไม่จำเป็นต้องหลบเลี่ยงเครื่องบินขับไล่ของญี่ปุ่นซึ่งถูกทำลายจนแทบไม่เหลือหลอ ส่วนพิสัยของปืนต่อสู้อากาศก็ต่ำเตี้ยเกินกว่าจะต่อกรกับป้อมปืนที่มีเพดานบินสูงลิ่ว ชาวบ้านริมแม่น้ำเจ้าพระยาทั้งฝั่งบางกอกและฝั่งธนจึงประหลาดใจกับการโจมตียามค่ำคืนที่ห่างหายไปนานแล้ว จะมีก็แต่คนที่บ้านพระยาวันพฤกษ์เท่านั้นที่รู้และเฝ้ารอล่วงหน้าว่าการทิ้งระเบิดคือการเบี่ยงเบนความสนใจของพวกญีุ่ป่นและฝ่ายรัฐบาล เพราะจะมีการเคลื่อนย้ายทหารอังกฤษและอเมริกาในทำเนียบท่าช้างและเสรีไทยบางคนที่ซุ่มซ่อนตัวอยูในพระนครไปยังที่หลบซ่อนแห่งใหม่ในดงสวนลึกล้ำฝั่งธน

บุรินซ่อนตัวอยู่ในดงกล้วยทึบหลังบ้าน รอจนกระทั่งเสียงหวอดังโหยหวน และระเบิดอานุภาพสูงถูกปล่อยจากใต้ท้องเครื่องบิน ลอยละลิ่วสู่เป้าหมายที่ตั้งใจเพียงให้เฉียดฉิว

"ไปได้" เสียงนายตำรวจคนสนิทของพลเอกอดุลย์ซึ่งเป็นหนึ่งในเสรีไทยคนสำคัญกระซิบสั่ง ก่อนจะโผนนำไปยังเรือที่มาจอดรอในเงามืดของท่าน้ำ

บุรินทร์โผนตาม แต่กลับชะงักที่บันไดท่าน้ำ เพราะเสียงกรีดร้องโหยหวนบอกถึงความเจ็บปวดหรือหวาดกลัวสุดขีดดังแข่งกับเสียงหวอ เสียงนั้นดังจากหน้าบ้านด้านที่ติดถนนซอย

"เสียงร้อง" เขาหันไปบอกกับนายตำรวจคนนั้นแล้วทำท่าจะผละไปหาที่มาของเสียง "ผมจะไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น"

"ไม่ได้ ไม่มีเวลาแล้ว เราต้องไปเดี๋ยวนี้" อีกฝ่ายส่ายหัว "เราไปถึงฟากโน้นก่อนพวกญีปุ่นจะตั้งตัวติด จะให้ชาวบ้านหรือคนของรัฐบาลเห็นตอนเราเคลื่อนไหวไม่ได้"

ชายหนุ่มละล้าละลัง "แต่...."

"ไม่มีแต่ เรากำลังทำงานเพื่อชาติอยู่นะ ไม่มีใครหรืออะไรสำคัญไปกว้านี้อีกแล้ว"

ใช่ ไม่มีอะไรสำคัญเท่าความอยู่รอดของชาติ เพราะสิ้นชาติ สิ้นแผ่นดิน ก็สิ้นทุกอย่าง แต่คนที่เขาทิ้งไว้เบื้องหลังก็ล้วนทำเพื่อชาติและอาจกำลังตกอยู่ในอันตรายถึงชีวิต

ชายหนุ่มกำมือแน่น หายใจหอบสะท้อนด้วยความอัดอั้นตันใจ แต่ในที่สุดก็ต้องเลือกก้าวลงไปในเรือ ฝีพายซึ่งเป็นนายตำรวจน้ำคนหนึ่งถีบเรือออกจากฝั่ง จ้ำพรวดๆ จนนาวาแล่นปราดฝายอดคลื่น เพียงพริบตาก็ถึงจุดหมาย ตอนนั้นฝูงบินมฤตยูหายลับเข้ากลีบเมฆไปแล้ว ทิ้งไว้เพียงความพินาศหายนะสองฝั่งน้ำ เพลิงลุกโชติช่วงตามจุดที่โดนระเบิดลงห่างออกไปไม่ไกล แต่จุดที่บุรินขึ้นฝั่งมืดมิดจนมองไม่เห็นแม้แต่มือตัวเอง เมื่อหันไปมองยังจุดที่จากมาก็มืดสนิทและเงียบงันราวไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิต

เสียงกรีดร้องนั่น....เกิดอะไรขึ้น มีใครถูกทำร้ายหรือเปล่า

"พรุ่งนี้ผมจะให้ลูกน้องไปดูให้" นายตำรวจผู้มาส่งตบไหล่เขาเบาๆ อย่างเข้าใจและปลอบใจ "คงไม่มีใครเป็นอะไรหรอก อย่าห่วงเลย"

นายตำรวจคนนั้นผิดคำพูด ไม่มาส่งข่าวตามสัญญา ความผูกพันกับคนที่ให้ที่พักพิงซ่อนตัวมากเกินกว่าที่เขาจะห้ามใจไม่ห่วงหา ทว่าเพียงวันรุ่งขึ้น เขาก็ได้รับคำสั่งให้เคลื่อนย้ายไปสกลนคร อำพรางตัวทำงานเป็นพนักงานรับ-ส่งวิทยุ ช่วยฝึกรบให้เสรีไทยสายอีสาน และออกแบบสร้างสนามบินกลางป่าภูพาน ไม่อาจตามติดข่าวสารความเป็นไปของใครในเมืองหลวงได้จนกระทั่งสงครามสงบและเขาถูกส่งตัวกลับไปเรียนต่อที่สหรัฐฯ

การเรียนปริญญาตรีและโทสาขาวิศวกรรมศาสตร์ที่เอมไอทีหนักหนาสาหัส เขาแทบไม่มีเวลาจะคิดถึงใคร แต่บางครั้งเมื่อได้เห็นจันทร์แจ่มฟ้า เขาอดไม่ได้ที่จะนึกถึงคนที่บ้านเจ้าคุณฯ ซึ่งไม่ได้ยินข่าวคราวอีกเลย No news is good news. ฝรั่งว่าไว้และเขาก็ใช้มันปลอดใจตัวเอง ไม่อา่จเล็งรู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในคืนนั้นจะมีผลรุนแรงต่ออนาคตของเขาในอีกยี่สิบปีต่อมา