บทนำ
เรือนผมดำดุจน้ำหมึกยาวสยายคลอเคลียบ่าและไหล่ ปลายเส้นผมพลิ้วสะบัดไหวตามแรงลมพัดโชยกระทบร่างบอบบาง ท่ามกลางแสงจันทร์สีเหลืองนวลในคืนที่ไร้ดวงดาว ยามจื่อ1มักเป็นเวลาที่ทุกคนหลับใหล คงไม่มีผู้ใดเสียสติออกมายืนอาบแสงจันทร์ในฤดูหนาวเช่นนี้แน่
ทว่าท่ามกลางเกล็ดหิมะโปรยปราย อากาศหนาวเหน็บกลับมีสตรีสติฟั่นเฟือนผู้หนึ่งนามว่าไป๋เหมยหลินยืนอยู่ใต้ต้นเหมยฮวา2 หากเป็นดอกไม้ชนิดอื่นคงร่วงโรยไปเพราะความหนาวเย็น มีก็เพียงดอกเหมยฮวาเท่านั้นที่ออกดอกสีสดใส ตัดกับสีขาวบริสุทธิ์ของหิมะ แต่จะมีผู้ใดรู้ว่าท่ามกลางความหนาวเย็นของหิมะที่ทับถมกันจนเกิดเป็นภูเขาขนาดเล็กนั้นได้ฝังกลบหัวใจดวงหนึ่งไว้ที่ใต้ต้นเหมยฮวา
เคยมีคนกล่าวไว้ว่าการแต่งงานคือจุดสิ้นสุดของความรัก.....
แต่น่าเสียดายที่นางนั้นไร้หัวใจรัก....ให้แก่คนผู้นั้น.....
หากย้อนกลับไปสองปีก่อน นางถูกส่งตัวขึ้นเกี้ยวเดินทางมายังตระกูลเสิ่น ตามหนังสือหมั้นหมายของทั้งสองตระกูล
วันนี้เป็นงานมงคล หน้าประตูจวนตระกูลเสิ่นจึงถูกประดับประดาไว้ด้วยโคมไฟสีแดง หากมองผ่านประตูเข้าไปด้านในจะเห็นตัวอักษรมงคลสีแดงที่มีความหมายถึงความสุข ความยินดี ด้านในไม่ว่าจะเป็นกำแพง เสาคานจะถูกประดับประดาไปด้วยพู่มงคลสีแดงที่ห้อยระย้าสูงต่ำสลับกับโคมไฟสีแดง บรรยากาศเต็มไปด้วยความชื่นมื่นของงานมงคล
ที่จริงใช่ว่าเมืองชิงเซียนจะไม่เคยมีงานแต่งใหญ่โตเช่นนี้มาก่อน แต่เพราะเจ้าบ่าวเป็นถึงท่านแม่ทัพที่ผู้อื่นต่างพากันร่ำลือว่าโหดร้าย เย็นชาประดุจภูเขาหิมะ ส่วนฝ่ายเจ้าสาวจะนับว่าเป็นผู้โชคดีหรือไม่ที่ได้แต่งให้กับแม่ทัพเสิ่นผู้นี้
ทันทีที่ขบวนเกี้ยวสีแดงสดประดับประดาอย่างวิจิตรงดงามแบกหามโดยชายร่างกำยำหยุดลงที่หน้าประตูจวน เสียงประทัดก็ดังขึ้น ตามติดมาด้วยมโหรีที่ประโคมบรรเลงเป็นจังหวะรื่นเริงต่อเนื่องครึกครื้นรื่นรมย์ ชวนให้ผู้คนออกมารอชมขบวนเกี้ยวเจ้าสาว และเมื่อเกี้ยวแตะลงพื้น แม่สื่อจะทำหน้าที่เข้าประคองเจ้าสาวผ่านธรณีประตูใหญ่เข้ามายังห้องโถงพิธีการด้านใน
ขณะที่ฝ่ายเจ้าบ่าวยืนรออยู่แล้วที่หน้าแท่นพิธี กระทั่งเจ้าสาวเดินมาหยุดยืนอยู่ทางด้านซ้าย เสียงร้องของผู้ที่ทำหน้าที่ดำเนินพิธีก็ดังขึ้น
เริ่มพิธี....หนึ่งคำนับฟ้าดิน สองคำนับบิดามารดา สามคำนับกันและกัน กระทั่งเสร็จพิธีจึงถือว่าทั้งสองเป็นคู่สามีภรรยากันอย่างถูกต้อง จากนั้นเป็นแม่สื่อทำหน้าที่เข้าประคองเจ้าสาวอีกครั้ง ก่อนจะพาเดินไปยังห้องหอ ส่วนเจ้าบ่าวยังต้องอยู่ต้อนรับแขกเหรื่อที่มาร่วมอวยพร ดื่มกินอาหารชั้นดี สุรารสเลิศถูกลำเลียงเข้ามาต้อนรับแขกไม่ขาดสาย นอกจากเจ้าบ่าวจะต้องอยู่รับคำอวยพรตามธรรมเนียม ยังต้องคอยรับสุรามงคลจากแขกเหรื่อที่ดื่มอวยพรอีกด้วย แต่แม่ทัพเสิ่นผู้ที่ได้ชื่อว่าคอแข็งดังเหล็กกล้า มีหรือสุราเพียงแค่นี้จะล้มเขาได้
เจ้าสาวจะถูกแม่สื่อประคองให้เข้ามารอเจ้าบ่าวในห้องหอตามธรรมเนียม และจะต้องนั่งอยู่ที่ปลายเตียงรอให้เจ้าบ่าวเข้ามาเปิดผ้าคลุมหน้า จากนั้นจะร่วมคล้องแขนดื่มสุรามงคลเป็นอันเสร็จพิธี ทว่าผ่านไปกว่าสามชั่วยามกระทั่งด้านนอกเงียบลง ก็ยังไร้เงาของผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นสามี
ดวงตากลมโตมองปลายนิ้วเรียว ราวกับต้นหอมผ่านผ้าคลุมหน้าโปร่งสีแดง มือขาวเรียวกำจิกปลายเล็บลงกลางฝ่ามือ ความเงียบทำให้นางพลันได้สติคิดทบทวน นับตั้งแต่นางขึ้นเกี้ยวเจ้าสาวกระทั่งก้าวผ่านธรณีประตูจวนตระกูลเสิ่น ไม่มีวาจาใดหลุดออกจากปากของผู้เป็นสามีแม้แต่ครึ่งคำ กระทั่งจะยื่นมือเข้าประคองนางสักนิดก็ไม่มี หากกล่าวกันตามธรรมเนียม มันผิดไปตั้งแต่เริ่มแรกแล้วกระมัง เจ้าบ่าวที่สมควรจะเป็นฝ่ายไปรับเจ้าสาวจากเรือนด้วยตนเอง แต่เขากลับส่งแม่สื่อไปรับเจ้าสาวมาเช่นนี้
มิใช่เป็นการแสดงออกอย่างชัดแจ้งแล้วหรือ ในที่สุดนางก็คิดได้เสียที การที่เขาฝืนยืนอยู่ตรงนี้จนจบพิธี นับว่าให้เกียรตินางมากแล้วกระมัง
อันที่จริง หากเขาไม่ยินยอมที่จะแต่งนางตั้งแต่แรกแล้วไยจึงไม่คิดปฏิเสธ ยามนั้นนางเพิ่งย่างเข้าแปดหนาวจะมีปัญญาอันใดไปต่อรองได้เล่า สุดท้ายก็ได้แต่ปล่อยให้ผู้อาวุโสทั้งสองฝ่ายตกลงทำหนังสือหมั้นหมาย กระทั่งถึงวันที่นางมีอายุครบสิบห้าหนาว และเป็นวันที่พรากทุกอย่างไปจากชีวิตเด็กสาวผู้หนึ่ง
แล้วนางผิดอันใดเล่า! ...
เจ็ดปีที่ถูกพร่ำสอนให้เป็นภรรยาที่ดี ยึดถือหลัก สามเชื่อฟัง3 มาตลอด
สองปีที่เป็นภรรยาคอยเฝ้าเรือนร้าง.....
เวลาเก้าปีที่เสียไปผู้ใดจะชดใช้ให้นาง......
กาลเวลาที่ผ่านไปปีแล้วปีเล่า ได้ขโมยสิ่งต่างๆ จากนางไปทีละสิ่ง.....
(ยามจื่อ1 23.00-24-59)
(เหมยฮวา2 ดอกเหมย)
(สามเชื่อฟัง3 สตรีที่ยังไม่ออกเรือนให้เชื่อฟังบิดา สตรีที่ออกเรือนแล้วให้เชื่อฟังสามี สตรีที่สามีเสียชีวิตให้เชื่อฟังบุตรชาย)