กลลวง บ่วงรักร้าย
ดราม่าน้ำตาริน
กลลวง บ่วงรักร้าย
ดราม่าน้ำตาริน
Mikey
กลลวง บ่วงรักร้าย มีอา หญิงสาวที่เติบโตมาท่ามกลางความรักความเอาใจใส่จากครอบครัว จู่ๆบริษัทของครอบครัวกลับล้มไม่เป็นท่า ทำให้เธอต้องรับข้อเสนอ นั่นคือการแต่งงาน เพื่อแลกกับบริษัทที่เธอต้องการเอาคืน เธอยินยอมที่จะแต่งงานกับลูคัส ชายหนุ่มที่โหดร้ายและป่าเถื่อน เขาเติบโตมาท่ามกลางความระหองระแหงกับผู้เป็นพ่อและพี่ชายต่างแม่ ถึงเขาจะยอมรับข้อเสนอในการแต่งงานครั้งนี้ นั่นก็เพื่อทำให้ผู้เป็นพ่อได้รับรู้ว่าไม่สามารถบังคับเขาได้อีกต่อไป!! ******************************************************* เรื่องนี้พระเอกจะใจร้ายขนาดไหน และนางเอกจะน่าสงสารเพียงใด ฝากติดตามด้วยนะคะ รับรองว่าเข้มข้นมากๆ ขอบคุณค่ะ ❤
  • 7 ตอน
  • 1,043
นิยายโดย
  • 1 คนติดตาม
บทนำ

บทนำ

เปรี้ยง !!

เสียงฟ้าผ่าดังกึกกองไปทั่วทุกสารทิศ ร่างเล็กที่นอนอยู่บนเตียงสะดุ้งตื่นขึ้นมาพร้อมเหงื่อที่พลั่งพรูอยู่เต็มใบหน้า หญิงสาวหอบหายใจถี่ๆ พลางเหลือบไปมองนาฬิกาที่ฝาผนังห้อง ก่อนจะพบว่าเป็นเวลาตีห้าพอดิบพอดี เธอหยัดกายลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินลงมาข้างล่าง กลิ่นอาหารลอยเข้ากระทบจมูกเป็นเนืองๆ เธอค่อยๆสูดกลิ่นเข้าไปช้าๆก่อนจะยิ้มออกมา เมื่อเจอร่างผู้เป็นแม่กำลังยืนขะมักเขม้นกับการทำอาหาร

“หอมจังเลยค่ะ” เธอสวมกอดผู้เป็นแม่จากทางด้านหลัง ก่อนจะหอมแก้มฟอดใหญ่

“ทำไมวันนี้ตื่นเร็วจังเลยล่ะ มีอา” มัสยาวางมือจากการทำอาหาร ก่อนจะหันมามองหน้าลูกสาว

“มีอานอนไม่ค่อยหลับน่ะค่ะ”

“คิดมากเรื่องที่พ่อกับแม่จะต้องไปทำงานที่ต่างประเทศรึป่าว” มัสยาลูบหัวลูกสาวอย่างเอ็นดู

“ค่ะ มีอาไม่อยากให้พ่อกับแม่ไป”

“ครั้งนี้จำเป็นจริงๆนะ ถ้าพ่อกับแม่ไม่ไป บริษัทของเราคงต้องถึงจุดจบเร็วๆนี้แน่” มัสยาพยายามอธิบายถึงเหตุผลในการจากไปครั้งนี้

“มีอาเรียนจบแล้ว มีอาจะช่วยพ่อกับแม่เองค่ะ”

“มีอา..แม่ แม่ขอโทษ” มัสยาเอ่ยออกมาพร้อมทั้งน้ำตา เธอหันหน้าหนีผู้เป็นลูกก่อนจะปาดน้ำตาลวกๆ

“เกิดอะไรขึ้นคะแม่”

“...”

“แม่บอกมีอาสิคะ” ร่างเล็กพยายามคะยั้นคะยอ

“เกิดอะไรขึ้นคุณ” เสียงทุ้มเข้มดังขึ้นก่อนจะปรากฏร่างของทัศนัย ชายวัยกลางคนผู้เป็นหัวหน้าครอบครัว

“ฉันไม่อยากปิดเรื่องนี้อีกแล้วค่ะ ฉันไม่อยากปิดบังอะไรลูกอีกแล้ว”

“มีอางงไปหมดแล้วค่ะ นี่มันเรื่องอะไรกันคะ” เธอมองหน้าผู้เป็นพ่อและแม่สลับกัน ทั้งสองมีหน้ากังวล และไม่กล้าสบตาเธอมากนัก

“เราไม่นั่งคุยกันดีๆดีกว่านะ” ทัศนัยเอ่ยขึ้นก่อนจะเดินจับมือภรรยาไปที่ห้องรับแขกของบ้าน มีอาทำได้เพียงเดินตามไปเงียบๆ เรื่องอะไรกันที่ทำให้แม่เธอร้องไห้ได้ขนาดนี้

เมื่อนั่งพร้อมหน้าพร้อมตาพ่อแม่ลูก ทัศนัยก็เริ่มเปิดประเด็นทันที

“คือว่า..ตอนนี้บริษัทของเรากำลังแย่”

“มีอารู้ค่ะ แต่ตอนนี้มีอาเรียนจบแล้ว มีอาจะกลับมาทำบริษัทของเราให้ดีขึ้นเองค่ะพ่อ” เมื่อได้ฟังลูกสาวเพียงคนเดียวพูดออกมาแบบนั้น ทัศนัยก็ถอนหายใจออกมาด้วยความลำบากใจ

“อันที่จริง พ่อกับแม่ขายบริษัทนั้น...ทิ้งไปแล้ว” ดวงตาของร่างเล็กเบิกโพล่ง

“อะไรนะคะ”

“บริษัทผ้าไทยของเราขาดทุนมาหลายเดือนแล้ว พ่อกับแม่ไม่มีเงินที่จะยื้อมันไว้แล้ว เราจำเป็นต้องขายมันทิ้งไป”

“ทำไมไม่มีใครบอกมีอาเลยล่ะคะ” หญิงสาวเริ่มโวยวาย

“พ่อกับแม่ขอโทษนะมีอา” มีอามองพ่อแม่ด้วยสายตาที่อธิบายไม่ถูก ตั้งแต่เกิดมาเธอก็เห็นบริษัทผ้าไทยแล้ว บริษัทนี้ทำให้เธอเรียนจนจบ ทำให้เธอมีบ้านอยู่ ทำให้ครอบครัวเธอเป็นครอบครัวที่อบอุ่น แต่ตอนนี้มันกลับไม่ใช่ของครอบครัวเธอต่อไปอีกแล้ว

“แล้วที่พ่อกับแม่จะไปต่างประเทศล่ะคะ” เมื่อได้ฟังคำถาม มัสยาและทัศนัยต่างมองหน้ากันพร้อมทำท่าทางอึกอัก

“คือว่า...”

“มีอะไรที่มีอายังไม่รู้หรอคะ”

“นี่เป็นเรื่องที่พ่อกับแม่จะบอกมีอาพอดี คือ..คนที่มาซื้อบริษัทผ้าไทยไปคือคุณไตรทศ ลูกค้ารายใหญ่ของเรา เขามาซื้อไปเพราะไม่ต้องการให้บริษัทนี้ไปตกอยู่ในมือคนอื่น”

“งั้นก็ดีเลยสิคะพ่อ แสดงว่าเรายังมีโอกาสได้บริษัทของเรากลับคืนมา”

“ใช่แล้วมีอา คุณไตรทศมีบุญคุณกับเรามาก เขารับซื้อบริษัทเราไว้ แถมยังให้พ่อกับแม่ไปช่วยดูแลบริษัทของเขาที่ต่างประเทศอีกด้วย” ร่างเล็กยิ้มออกมาก่อนจะเอื้อมมือไปจับมือของทั้งสองคนเอาไว้

“มีอาอยู่ทางนี้ มีอาจะช่วยหาเงินมาซื้อบริษัทเราคืนนะคะ”

“แต่ว่า..” ผู้เป็นพ่อเอ่ยขึ้นต่อ

“แต่อะไรหรอคะ”

“คุณไตรทศต้องการให้เราช่วยอะไรเขาหน่อย”

“ได้สิคะพ่อ ให้ช่วยอะไร มีอาพร้อมช่วยทุกเรื่องเลยค่ะ บอกมีอามาได้เลย”

“คุณไตรทศต้องการให้มีอาแต่งงานกับลูกชายเขา” ริมฝีปากบางค่อยๆหุบยิ้มลงก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก

“เรื่องนี้มันยากที่ลูกจะตัดสินใจ” มัสยาจับมือลูกสาวเอาไว้แน่น เธอรู้ว่าเรื่องนี้คงทำให้ลูกสาวไม่พอใจเสียเท่าไหร่

“ลูกไม่ต้องทำแบบนั้นก็ได้นะ พ่อกับแม่หางานแถวบ้านทำเอาก็ได้ลูก ส่วนบริษัท มันคงถึงเวลาที่จะต้องหยุดแล้ว” มัสยาว่า สายตาเธอมองลูกสาวด้วยน้ำตาที่เอ่อคลอเต็มรอบดวงตา

“ใช่แล้วลูก เรายังมีทางให้เลือกอีกมาก เราอยู่กันแบบนี้ก็พอแล้ว”

“มีอาจะแต่งค่ะ” เมื่อเธอตอบออกไป ทั้งพ่อและแม่ต่างหนักใจมากขึ้น ทำแบบนี้ไม่ต่างกับขายลูกสาวเลย

“พ่อกับแม่ไม่อยากให้มันเป็นแบบนี้”

“มีอาจะแต่งกับลูกคุณไตรทศค่ะ มีอาปล่อยให้บริษัทผ้าไทยตกไปเป็นของคนอื่นไม่ได้”

“มีอา แม่ขอโทษ”

“ไม่มีใครผิดทั้งนั้นค่ะ มีอาจะแต่งงานค่ะ พ่อกับแม่ไม่ต้องกังวลและไม่ต้องโทษตัวเองนะคะ มีอาเต็มใจ” ถึงเธอจะไม่เต็มใจ แต่จะให้พูดแบบนั้นไปก็คงสร้างความลำบากใจให้พ่อแม่เธอไม่น้อย

“ขอบใจมากนะลูก” ร่างเล็กพยักหน้าแทนคำตอบ

“แล้วเราจะไปพบคุณไตรทศเมื่อไหร่คะ”

“คุณไตรทศนัดเราไปพบอาทิตย์หน้า พร้อมกับลูกชายของเขา”

“ค่ะ อาทิตย์หน้ามีอาจะไปพบคุณไตรทศค่ะ” หญิงสาวบอกก่อนจะยิ้มออกมา แม้เธอจะไม่อยากแต่งสักเท่าไหร่ แต่เธอคงปฏิเสธไม่ได้

“งั้น มีอาขอตัวก่อนนะคะ” หญิงสาวลุกพรวดก่อนจะรีบเดินขึ้นไปยังห้องนอน เธอทิ้งตัวลงบนโซฟาในห้องก่อนจะนั่งนึกถึงสิ่งที่เพิ่งเกิดเมื่อสักครู่ เธอจะต้องแต่งงานกับลูกคุณไตรทศ เขาเป็นใครเธอเองก็ยังไม่รู้ และข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง เธอก็ไม่สามารถคาดเดาได้ แต่เธอไม่สามารถปล่อยให้บริษัทผ้าไทยตกไปเป็นของคนอื่นได้จริงๆ หญิงสาวเดินไปยังกระจก ดวงตากลมโตมองกระจกที่สะท้อนเรือนร่างของเธอ ผมดำขลับยาวถึงกลางหลัง ตัดกับผิวขาวทำให้ดูน่ามอง ส่วนสูงหนึ่งร้อยหกสิบห้า กับร่างที่สมส่วน ทำให้เธอดูตัวเล็กไปบ้าง แต่กลับดึงดูดชวนมองอย่างบอกไม่ถูก ดวงตากลมโตกับใบหน้าเรียว พร้อมริมฝีปากเรียวเล็ก ส่งผลให้เธอดูเหมือนกับตุ๊กตาที่ถูกปั้นมาอย่างประณีต เธอส่งยิ้มให้กับตัวเองในกระจก โดยไม่รู้เลยว่าสิ่งที่เธอได้ตัดสินใจไปนั้น กำลังจะสร้างปัญหาให้เธอครั้งใหญ่

....................................................

ร่างกำยำเต็มไปด้วยมัดกล้าม บ่งบอกว่าชายผู้นี้ออกกำลังกายมาอย่างหนัก เขากำลังพลิกตัวอยู่บนเตียงขนาดคิงส์ไซส์ภายใต้ผ้านวมหนา ข้างกายเขามีหญิงสาวที่กำลังนอนหลับตาพริ้ม ชายหนุ่มลืมตาขึ้นมาก่อนจะคว้าเสื้อผ้าข้างเตียงมาสวมใส่

“จะไปแล้วหรอคะ ลูคัส” เสียงหวานๆดังขึ้น เขาหันไปมองเล็กน้อยก่อนจะหันกลับมาแต่งตัวต่อ

“อือ”

“คืนนี้คุณจะเข้ามาคลับอีกรึป่าวคะ เวนดี้จะได้มาหาคุณ”

“ผมมีธุระ ผมขอตัว” ลูคัสตอบกลับสั้นๆ ก่อนจะหยิบของส่วนตัวแล้วเดินออกไปทันที รถสปอร์ตสีแดงเพลิงพุ่งออกไปด้วยความเร็วสูง เสียงเพลิงในรถดังกระหึ่ม เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูขณะจอดติดไฟแดง ก่อนพบว่ามีสายที่ไม่ได้รับมากถึงยี่สิบสาย และคนที่โทรหาเขาได้มากขนาดนี้มีเพียงป้านันทาเท่านั้น และเขาก็รู้ด้วยว่าทำไมป้านันทาถึงได้โทรหาเขา

เมื่อรถคู่ใจจอดอยู่หน้าบ้าน ร่างท้วมของป้านันทาก็วิ่งมาหาเขาทันที

“คุณหนูคะ ทำไมกลับเอาป่านนี้ล่ะค่ะ” ป้านันทาผู้ดูแลเขามาตั้งแต่เขายังเด็ก จนตอนนี้เขาอายุย่างเข้ายี่สิบเจ็ดปีแล้ว แต่เขาก็ยังคงเป็นคุณหนูสำหรับป้านันทาเสมอ

“คุณพ่อมารอนานแล้วสินะครับ”

“มาตั้งแต่เช้าเลยล่ะค่ะ” ลูคัสพยักหน้าก่อนจะเดินเข้าบ้าน เมื่อเดินเข้ามาถึงห้องโถงก็พบกับผู้เป็นพ่อที่นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่

“ลมอะไรหอบพ่อให้มาถึงบ้านผมได้ครับ” เขาเอ่ยทักก่อนจะนั่งยังโซฟาฝั่งตรงข้าม

“ถ้าฉันไม่มา ก็คงไม่รู้ว่าแกกลับบ้านเช้าแบบนี้” ไตรทศย้อนกลับลูกชายตัวแสบ

“ผมมีกิจการหลายอย่างต้องดูแล เลยต้องกลับเช้าแบบนี้แหละครับ”

“ไนท์คลับของแกเป็นยังไงบ้าง”

“ก็ดีครับ กำไรมากมาย จนพ่อคิดไม่ถึงเลยล่ะ”

“แล้วงานที่บริษัทเป็นยังไงบ้าง”

“ทุกอย่างเรียบร้อยดีครับ ตามที่ผมให้สัญญาไว้ ว่าถ้าผมเปิดไนต์คลับ ผมจะต้องทำกำไรให้บริษัทด้านอุตสาหกรรมสิ่งทอ และตอนนี้บริษัทของเราก็ยังคงเป็นอันดับหนึ่งอยู่” ลูคัสว่าก่อนจะส่งยิ้มให้คนตรงหน้าอย่างผู้ชนะ

“แกกับพี่ชายแกเก่งฉันยอมรับ เรื่องงานฉันไม่ห่วงหรอก แต่เรื่องอื่นฉันคงต้องห่วงหน่อย” เมื่อได้ยินดังนั้น ชายหนุ่มก็ถอนหายใจออกมาโดยอัตโนมัติ

“พ่อพูดธุระของพ่อมาเลยดีกว่า”

“ถ้าให้เดา เมื่อคืนแกคงนอนกับผู้หญิงที่คลับมาอีกแล้วสินะ”

“ผมโตแล้วนะ ผมจะนอนกับใครมันก็เรื่องของผม”

“แกจะนอนกับใครฉันไม่ว่า แต่คนที่แกจะต้องแต่งงานด้วย ต้องไม่ใช้ผู้หญิงพวกนั้น” ลูคัสกรอกตาไปมาอย่างเบื่อหน่าย แค่นี้ก็รู้แล้วว่าพ่อเขากำลังหาผู้หญิงให้เขาอยู่

“ผมไม่แต่ง ถ้าพ่ออยากหาคนไปแต่งกับผู้หญิงที่พ่อเลือกให้ พ่อก็ให้มาคัสไปแต่ง” ลูคัสกำลังโบ้ยเรื่องนี้ไปให้พี่ชายต่างแม่ของเขา

“มาคัสมันไม่เหลวไหลเรื่องผู้หญิงแบบแก”

“มันนั่นแหละตัวดีเลย”

“อย่าพูดจาแบบนั้นนะลูคัส” ไตรทศเริ่มเสียงดัง

“ผมแตะต้องลูกเมียน้อยพ่อไม่ได้เลยรึไง” ชายหนุ่มส่งยิ้มเย้ยหยันให้แก่ผู้เป็นพ่อ

“ฉันจะไม่เถียงกับแกเรื่องนี้”

“ยังไงผมก็ไม่แต่ง”

“ฉันไม่ยอมให้แกไปคว้าผู้หญิงไม่รู้หัวนอนปลายเท้ามาเป็นเมียหรอก”

“ไม่รู้สิครับ” ลูคัสยังคงทำหน้ากวนประสาทไม่เลิก

“อาทิตย์หน้าฉันจะนัดพวกเขาให้มาเจอแก”

“เฮอะ ก็คงเป็นพวกหิวเงินที่อยากจะจับผู้ชายรวยๆสินะครับ เมื่อไหร่พ่อจะรู้ทันคนพวกนี้สักที”

“หยุดพูดจาแบบนี้สักทีลูคัส”

“พ่อคิดว่าถ้าผมแต่งงานกับผู้หญิงคนนั้น แล้วเธอจะมีความสุขหรอ”

“ฉันเชื่อว่าหนูมีอาจะเปลี่ยนนิสัยของแกได้”

“แล้วถ้าเธอเปลี่ยนไม่ได้ล่ะ” ไตรทศมองหน้าลูกชายที่ไม่ยอมอ่อนข้อกับเขาเลยสักนิด เขากับลูกชายไม่ค่อยถูกกันนัก เป็นเพราะความเจ้าชู้ของเขาสมัยหนุ่มๆ ไตรทศแต่งงานกับรินดา และได้ให้กำเนิดลูคัส แต่กลับมีมาคัส ลูกของหญิงสาวที่เขาเคยหลับนอนด้วยเกิดขึ้นมาด้วย มาคัสเกิดก่อนลูคัสเพียงเดือนเดียว ทำให้รินดาเสียใจมาก ประกอบกับล้มป่วย ทำให้เธอเสียชีวิตไปตั้งแต่ลูคัสอายุได้เพียงห้าปี ตั้งแต่นั้นมาลูคัสก็ตั้งแง่กับผู้เป็นพ่อและพี่ชายต่างแม่มาโดยตลอด

“ที่ฉันทำแบบนี้ก็เพราะไม่อยากให้แกพลาดเหมือนฉัน”

“เพราะความเห็นแก่ตัวของพ่อต่างหาก” ชายหนุ่มจ้องหน้าผู้เป็นพ่อไม่วางตา ดวงตาคมกำลังแสดงความไม่พอใจอยู่

“ยังไงแกก็ต้องแต่งงานกับมีอา”

“ผู้หญิงคนนี้มีดีอะไรกันครับ ทำไมถึงได้อยากให้ผมแต่งนักแต่งหนา”

“หนูมีอา เธอเป็นเด็กดี การศึกษาก็ดี กิริยามารยาทก็ดี ฉันอยากให้แกได้เจอกับคนดีๆ”

“งั้นหรอครับ เธอคงไม่ใช่ผู้หญิงหิวเงินเหมือนพวกเมียน้อยพ่อนะครับ”

“ลูคัส!!” ไตรทศเริ่มหมดความอดทนกับการต่อปากต่อคำของลูกชายคนนี้เข้าไปทุกที

“เอาเป็นว่า ถ้าพ่ออยากให้แต่ง ผมก็จะแต่งครับ” ไตรทศมองลูกชายด้วยความประหลาดใจ เมื่อกี้เขายังเถียงหัวชนฝาว่าไม่แต่งอยู่เลย

“แกคิดจะทำอะไร”

“ผมคิดๆดูแล้ว ถ้าผมบอกว่าผมไม่แต่ง พ่อก็คงบังคับผมอยู่ดี”

“คิดได้ก็ดี” ไตรทศมองไปยังลูกชายที่ส่งยิ้มให้เขา

“ผมจะทำให้ผู้หญิงคนนั้น ไม่อยากแต่งงานกับผมเอง” สิ้นเสียงชายหนุ่มก็เดินขึ้นไปยังห้องนอนที่อยู่ชั้นสองทันที ปล่อยให้ผู้เป็นพ่อยืนก่นด่าอยู่ด้านล่าง โดยที่เขาไม่สนใจแม้แต่นิดเดียว

ห้องนอนขนาดใหญ่ถูกตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ชั้นดี เขาทิ้งตัวลงบนเตียงก่อนจะถอนหายใจออกมา พลางคิดเรื่องเมื่อครู่

“แต่งงานงั้นหรอ” ลูคัสหัวเราะในลำคอ ตั้งแต่เรียนจบชายหนุ่มก็พยายามอย่างหนักในการเรียนรู้การทำงานที่บริษัท จนเขาเป็นที่ยอมรับในแวดวงธุรกิจพร้อมๆกับพี่ชายต่างแม่ เขาเองไม่ได้อคติกับมาคัสมากนัก แต่เขาก็ไม่อาจใยดีกับมาคัสได้ แค่เจอหน้ากันเขาก็ไม่อยากจะสนทนาด้วยสักเท่าไหร่ ไม่นานมานี้เขาเลยตัดสินใจเปิดไนท์คลับขึ้นมาเพื่อเป็นที่ผ่อนคลายจากการทำงานที่บริษัท ตั้งแต่แม่จากไปเขาก็รู้สึกว่าเขายืนอยู่เพียงลำพัง แต่ผู้เป็นพ่อก็มักจะออกคำสั่งกับเขาเรื่อยมา ทั้งเรื่องเรียน เรื่องงาน จนกระทั่งเรื่องแต่งงานนี่ด้วย ที่เขายอมตกปากรับคำแบบนี้ ก็เพราะเขาอยากทำให้รู้ ว่าพ่อของเขาไม่สามารถมาบังคับชีวิตของเขาได้อีกต่อไป