ผ่านพิภพ
รักโรแมนติก
ผ่านพิภพ
รักโรแมนติก
JirayaJiya
การปรากฏตัวของวิญญาณตนหนึ่งทำให้นักสืบสาวจากเมืองผู้ดีอย่างมณฑิราต้องเดินทางข้ามเวลามาสู่ยุคสมัยที่เวลาต่างกันร้อยกว่าปีเพื่อไขคดี และเธอมาในฐานะหญิงมีชู้ มิใช่แม่หญิงสูงศักดิ์ที่น่าเชิดชู
  • 33 ตอน
  • 3,703
นิยายโดย
  • 0 คนติดตาม
บทนำ

บทนำ

เสียงวงมโหรีดังแว่วผ่านสายลม...

เครื่องดนตรีไทยโบราณชิ้นน้อยใหญ่ดังประสานกันขึ้นมาได้อย่างไพเราะ ราวกับสายน้ำที่ไหลริน ไม่ขาดช่วง ทว่าน่าแปลกตรงที่มีอีกเสียงของเครื่องดนตรีชิ้นหนึ่งดังชัดและก้องกังวานกว่าเครื่องดนตรีชิ้นใด ประหนึ่งต้องการให้เสียงอื่น พ่ายแพ้ไปให้ได้เสียนี่!

ฤานี่คือความฝัน ฝัน...ที่จะดลบันดาลสิ่งใดย่อมได้

แลหากคิดว่ามันเป็นเพียงความฝัน เสียงของบทเพลงนั้น เหตุใดจึงดังชัดเจน มากพอจะกระตุ้นให้ร่างของคนบนเตียงนอนกระสับกระส่ายไปมาอย่างไม่เป็นสุข เหงื่อเปียกชุ่มไปทั่วใบหน้า

ใครกันนะ?

ใครกันที่กำลังบรรเลงบทเพลงนี้อยู่ ทำไมมันจึงได้เศร้านัก ราวกับก้อนเนื้อที่เรียกว่าหัวใจได้ถูกกรีดและถูกแทงครั้งแล้วครั้งเล่า

เจ้าเอยจำปา รักลาลับไกล

แม้นงามปานใด ไยใจเจ้าขุ่นมัว

ตัวพี่พันผูก ปลูกรักมะลิซ้อน

ใจน้องขาดรอนรอน มิอาจถอนรักคืน

เจ้าเอยจำปี อยากหนีพี่ไป

รักพี่เป็นไฉน ไยจึงช้ำนัก

สลักจิตแนบชิด มิคิดเป็นอื่น

ท้ายรักพี่ไม่จักคืน กล้ำกลืนพิษรักเอย

เมื่อโน้ตตัวสุดท้ายจบลงไป หมอกขาวหนาจัดปนน้ำค้างบาง ๆ ปกคลุมไปทั่วบริเวณ ภาพรอบกายมองไม่เห็นสิ่งอื่นใด นอกไปเสียจาก...ความมืดที่ถูกฉาบเอาไว้ด้วยกลุ่มของหมอกน้ำค้าง เสียงลมพัดตึง ดังหวีดหวิว คล้ายกับยามนี้ไม่ได้ยืนอยู่บนพื้นดินราบ ร่างบางไม่กล้าขยับเขยื้อนไปไหน สมองยังคงงุนงง พอๆ กับสติที่ยังงงงวย

“ฮือ ๆ”

เสียงร้องไห้!

ใครคนหนึ่งกำลังร้องไห้ เสียงเย็นยะเยือกแช่ร่างบางให้ตรึงนิ่งอยู่กับที่ เสียงร้องไห้ยังดังสอดแทรกมากับสายลม ชวนให้ขนลุกขนพองเป็นอย่างยิ่ง จนเจ้าตัวเผลอยกมือทั้งสองข้างลูบหัวไหล่ของตนเองขึ้นลง คล้ายพยายามปลอบประโลมไม่ให้กลัว

“ใครกันคะ?” เสียงสั่นสะดุดตะโกนถามออกไป

อย่างน้อย เธอคิดว่าการเอ่ยถามย่อมดีกว่าเอาแต่หวาดกลัว มนุษย์เราร้องไห้คร่ำครวญมากมายเพียงนั้น ส่วนใหญ่ก็ด้วยความทุกข์ ความเจ็บปวดทั้งสิ้น

เสียงร้องไห้ยังคงดังต่อเนื่อง ก่อนที่เสียงกรีดร้องโหยหวนด้วยความกลัวสุดชีวิตจะดังขึ้นตามมา

“กรี๊ด!”

ทันทีที่เสียงร้องดังขึ้น หญิงสาวตัดสินใจวิ่งฝ่าความมืดมิดไปทางต้นตอของเสียง ความหวาดกลัวที่มีมาก แต่ก็ไม่อาจเอาชนะความกล้าหาญในตัวของเธอได้ สองเท้าวิ่งอย่างไม่คำนึงหรือคิดถึงความปลอดภัยของตัวเอง ทว่าน่าแปลกยิ่งนัก วิ่งเท่าไร ก็ไม่อาจหลุดพ้นจากกลุ่มหมอกและความมืดมิดเหล่านี้เสียที วิ่งจนใจแทบขาด แต่ก็ไม่อาจมองเห็นอะไรรอบกายได้

นี่คงยังอยู่ในความฝันสินะ

การวิ่งในความฝันเหนื่อยกว่าความเป็นจริงมากมายนัก หากถึงแม้จะเป็นแค่ฝัน เธอก็ต้องการรู้ ต้องการเห็นเจ้าของเสียงกรีดร้องนั้นให้จงได้

แต่ยังไปไม่ถึงไหน เท้าสองข้างของเธอก็สะดุดเข้ากับอะไรบางอย่าง ทำให้ร่างทั้งร่างถลาล้มลงบนพื้นอย่างไม่ทันตั้งตัว และยังไม่ทันได้สำรวจร่างกายของตนดีนัก ก็ต้องตกตะลึงกับภาพเบื้องหน้า หมอกที่ปกคลุมหนาทึบก่อนหน้านี้หายไปจนหมดสิ้น เหลือเพียงความมืดกับเงาของอะไรบางอย่าง...

เสียงกรีดร้องดังขึ้นอีกครั้งและยาวนานกว่าครั้งเก่า ร่างบางถลาลุก รีบวิ่งไปยังต้นตอแห่งเสียง สายตาพยายามเพ่งมองฝ่าความมืดออกไป แต่ก็สามารถมองเห็นบริเวณรอบกายได้ในระยะประชิดตัวเท่านั้น และแล้วกลุ่มเมฆดำที่ปกคลุมพระจันทร์จนมิดก็เคลื่อนตัวออก แม้เพียงเล็กน้อย หากความสว่างจากรูปเสี้ยวพระจันทร์ ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อสายตาของเธอจนทำให้มองไม่เห็นอะไรเหตุการณ์บางอย่างที่ปรากฏตรงหน้า คล้ายกับว่ามีอำนาจลึกลับจากบางสิ่งต้องการให้เธอได้เห็น ร่างของใครคนหนึ่งกำลังกระโจนข้ามขอบที่คาดว่าอาจจะเป็นระเบียงลงไปด้านล่าง และดูเหมือนจะมีเงาของอะไรบางอย่างเคลื่อนไปอีกทางอย่างรวดเร็ว

หญิงสาวพยายามวิ่งไปยังจุดที่มีร่างของใครบางคนกระโจนดำดิ่งลงไปก่อนหน้า หากยังไม่ถึงจุดหมาย เท้าข้างหนึ่งของเธอก็สะดุดเข้ากับวัตถุอย่างหนึ่งที่กำลังส่องแสงประกายโดดเด่นจนเกือบเอาชนะความมืดรอบทิศได้ ร่างบางหย่อนตัวลง มือเล็กค่อย ๆ เลื่อนไปหยิบเครื่องประดับชนิดหนึ่งที่มีจี้สีแดงเลือดตรงกลางอย่างประหลาดใจ แม้จะเคยเห็นเงินทอง แลเพชรนิลจินดา อัญมณีมีค่ามามากต่อมาก แต่ก็ยังไม่มีเครื่องประดับชิ้นใดที่จะสวยสดงดงามตระการตาเธอได้เท่าเทียมเครื่องประดับชิ้นนี้

เสียงของกลุ่มคนแทรกด้วยเสียงกรีดร้องของหญิงสาวนับหลายคนดังขึ้น ฉุดให้เธอนึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้าขึ้นมาได้ พลางกระชับเครื่องประดับที่พบไว้ในมือแน่น ก่อนจะรีบพุ่งไปยังขอบระเบียง แล้วก้มมองลงไป ภาพที่เห็นด้านล่างเป็นภาพของกลุ่มคนที่วิ่งกรูเข้ามาดู บ้างเป็นลมล้มพับลงไป บ้างนั่งทรุดลงไปกับพื้นร้องไห้คร่ำครวญ

แม้ระยะจากจุดที่เธอยืนกับร่างแน่นิ่งด้านล่างจะห่างกันประมาณความสูงของตึกสองหรืออาจจะสามชั้น แลทั้งความมืดที่ปกคลุมโดยรอบ แต่ทว่าภาพที่ปรากฏแก่สายตากลับเด่นชัดราวกับอยู่ห่างไม่ถึงระยะลมหายใจ ใบหน้าซีดขาวอาบไปด้วยเลือดแดงฉาน นัยน์ตาจ้องเขม็งราวกับเคียดแค้น ชิงชังสิ่งใดมาก็ไม่ปาน ร่างกายหักงอไปตามแรงกระแทกจากความสูงและความแข็งของพื้นปูน

ก่อนที่เสียงตะโกนปนคำสั่งจะดังขึ้นเบื้องล่าง

“มีคนอยู่บนนั้น จงขึ้นไปจับมันมาบัดเดี๋ยวนี้!” สิ้นคำสั่ง กลุ่มชายฉกรรจ์ในชุดเครื่องแบบแปลกตาทางด้านล่างที่มาพร้อมกับอาวุธดาบหรือปืนในมือก็ไม่อาจทราบได้ วิ่งหายไปในความมืด

หญิงสาวสะดุ้ง ผวาด้วยความตกใจ นึกขึ้นมาได้ว่าไม่มีใครอื่นอีกแล้ว นอกจาก...เธอ!

ร่างปราดเปรียวรีบตั้งสติ คิดหาทางออก แต่ด้วยความมืดรอบกายประกอบกับสมองของเธอที่มืดมิดยิ่งกว่า ทำให้นึกอะไรไม่ออก นอกไปเสียจากการวิ่ง

ใช่...เธอต้องวิ่งออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด ไม่เช่นนั้น คงได้ตกเป็นฆาตกรทั้งที่ไม่ได้กระทำสิ่งใดเลยมาแต่เริ่มต้น

เท้าก้าวเร็วเท่ากับสมองสั่ง หากยังไม่ทันได้หมุนตัวดีนัก ร่างทั้งร่างก็ชนเข้ากับร่างสูงใหญ่ของใครบางคน แรงกระแทกทำให้ร่างของเธอเสียหลักแทบหงายหลัง ฝ่ามือใหญ่แข็งแกร่งกระชับเข้าที่ต้นแขนเรียวเล็กทั้งสองข้าง กระชากร่างของเธอไปสู่อ้อมอกของคนผู้นั้นเต็มรัก

แรกสัมผัสนั้นคือ กลิ่น...

กลิ่นหอมของดอกอะไรกัน หอมไปถึงหัวจิตหัวใจ

ยังไม่ทันได้เห็นหน้าเจ้าของแผงอกกว้างถนัดตา เสียงของกลุ่มคนเคลื่อนไหวอยู่ด้านล่างดังชัดขึ้นกว่าเดิม ส่งสัญญาณให้รู้ว่า อันตรายใกล้เข้ามาแล้ว หญิงสาวหมุนตัวหนีฉับพลัน หากมือหนากลับไวยิ่งกว่า คว้าลำแขนเรียวทั้งสองข้างขอวเธออีกครั้งให้ตามตนไปอย่างรวดเร็ว

เธอไม่รู้และไม่อาจเข้าใจว่าเหตุใดจึงไว้ใจคนแปลกหน้าได้อย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ ไม่สิ อย่าเรียกว่าคนแปลกหน้าเลย แม้แต่ใบหน้าของเขา เธอก็ยังไม่มีโอกาสได้เห็นด้วยซ้ำ มีเพียงแค่แผ่นหลังที่หนาใหญ่ ท้ายทอยที่ดูเหมือนผมจะสั้นแทบเกรียนแต่ไม่เกรียน และมือหนาที่กุมมือของเธอเอาไว้ในยามนี้เท่านั้น ที่พอมองเห็นได้บ้าง

ชายลึกลับนำเธอลงมาทางบันไดวนอีกด้านอย่างรวดเร็ว และพาเดินทะลุผ่านห้องนั้นห้องนี้ไปอย่างคล่องแคล่ว ดูเหมือนเขาจะชำนาญเส้นทางเป็นอย่างดี ไม่กี่อึดใจเขาก็พามาถึงยังด้านล่างของตึก บ้าน หรืออาคารสักอย่าง จนกระทั่งเท้าสองข้างเหยียบลงบนหญ้านุ่มที่เย็นยะเยือก เธอสะดุ้งเกือบจะชักเท้ากลับ หากชายลึกลับไม่ดึงตัวหลบหลังพุ่มไม้หนาเสียก่อน กลิ่นหอมอ่อนๆ ลอยมาแตะจมูกอีกแล้ว ชายผู้นี้มีกลิ่นหอมพิเศษ ซึ่งเธอเองก็นึกไม่ออกเช่นกันว่ามันคือกลิ่นของดอกไม้อะไรกันแน่

“หล่อนจงหลบอยู่ตรงนี้เสียก่อน” เสียงทุ้มลึกดังขึ้นเป็นครั้งแรก

น้ำเสียงบ่งบอกถึงความอบอุ่นและความห่วงใย หญิงสาวไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้ามองผู้มีพระคุณ

ร่างหนาเคลื่อนตัวออกห่างไป

“แล้วคุณจะไปไหนคะ” เสียงของเธอระคนตกใจที่จู่ๆ เขาจะทิ้งเอาไว้เช่นนี้

“ฉันช่วยหล่อนได้เพียงเท่านี้” คำพูดของเขาจบลงเท่านี้ก็จริง แต่ร่างของเขายังไม่ทิ้งเธอไปเสียทีเดียว

“ลองไปทางโน้นดู” เสียงของคนกลุ่มเดิมดังขึ้นอีกครั้ง

ว่าแต่ ทางโน้นที่พวกนั้นกล่าวถึงมันก็คือทางเดียวกับที่เธอหลบอยู่ ณ ขณะนี้สินะ

ไม่ช้าคนกลุ่มนั้นก็มาถึง หญิงสาวตัวสั่นเทาอยู่ด้านหลังแผ่นหลังหนาใหญ่ที่หล่อนมั่นใจว่า เจ้าของคงไม่มีทางสะทกสะท้านกับเรื่องใดง่าย ๆ

“พวกเอ็งจงไปดูหลังพุ่มไม้” สิ้นคำสั่ง ตามมาด้วย “ขอรับ” อย่างพร้อมเพรียง

หญิงสาวหลับตาปี๋ด้วยความลุ้นระทึก พ่อจ๋า แม่จ๋า ช่วยลูกด้วย เสียงพร่ำพรรณนาดังขึ้นในใจไม่หยุดหย่อน ยอมรับว่ากลัวสุดชีวิต ถ้ามันคือความฝัน ก็นับว่ามันคือฝันร้ายที่สุดเท่าที่เกิดมาและจำความได้ และครานี้ชีวิตเธอคงได้ถึงกาลอวสานเป็นแน่

ไออุ่นจากแผ่นหลังหนาใหญ่ หายไปเสียดื้อ ๆ กลายเป็นความเย็นยะเยือกราวกับน้ำแข็งของสายลมที่เข้ามาสัมผัสกับผิวกายแทน มือสองข้างกุมเครื่องประดับที่พบแน่น ปลายนิ้วทั้งหมดสั่นเกร็ง เธอไม่กล้าแม้แต่จะลืมตาขึ้นมาดูเหตุการณ์เบื้องหน้า

แต่ก่อนที่เหตุการณ์จะเลวร้ายลงไปมากกว่านั้น แสงสว่างสีทองจ้าก็หอบพาเหตุการณ์ทุกอย่างให้หายไปในบัดดล