เรื่อง กลรักสาวมีนกร   ตอนที่ 1 สาวมีนกร
รักโรแมนติก
เรื่อง กลรักสาวมีนกร ตอนที่ 1 สาวมีนกร
รักโรแมนติก
จิ๋ว ใบจาก
“ เมื่อตะกี้ฉันได้ยินว่า วันนี้เป็นวันตายของใคร อุ้ย ! ไม่ใช้สิ วันเกิดของใคร ” “ วันตายของแก อีน้ำเน่า อิทังเมญตินัง โหตุ สุขิตา โหตุ ญาตะโย จงเป็นสุขเถิดอย่าได้มีเวรต่อกันเลย ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จแกพวกสัมเภวี เปรตทั้งหลายด้วยเทอญ ” มัจฉาสาดน้ำใส่หน้าน้ำหวานจนหมดแก้ว น้ำหวานร้องกรี๊ดออกมาอย่างไม่พอใจ “ อีมัจ ! ฉันยังไม่ตายและไม่ต้องการเศษบุญจากแก ” “ มัจ ! ใจเย็น อย่ามีเรื่องกันเลย ” กุ้งทิพย์เขย่าแขนมัจฉาเบา ๆ มัจฉาเงียบ “ อีลูกกำพร้า อีลูกกรรมกรน้ำหน้าอย่างแกเป็นได้แค่เด็กล้างจานในร้านหมูกะทะ ขาดพ่อไร้แม่ชาตินี้คงเป็นได้แค่นี้ ” มัจฉาชกหน้าของน้ำหวานอย่างแรงจนเลือดกลบปาก น้ำหวานเอามือแตะตรงมุมปาก มัจฉายิ้มตรงมุมปาก “ หงส์ปีกหักอย่างแกต้องโดนแบบนี้ถึงจะได้หุบปาก อีน้ำเน่า ! แกหยุดเห่าสักทีได้ไหม ฉันรำคาญเสียงของแกมาก ” มัจฉาตบหน้าน้ำหวานพร้อมทั้งเอาขนมปังยัดใส่ปากพร้อมทั้งหยิบแก้วน้ำน้ำอัดลมราดใส่หัว น้ำหวานกรี๊ดออกมาด้วยความโกรธ ในขณะที่จอยลดา กุ้งทิพย์ เดซี่ และเอกชัยช่วยมัจฉาจัดการพวกของน้ำหวาน อาหาร เครื่องดื่มที่วางไว้บนโต๊ะถูกหยิบขึ้นมาเป็นอาวุธทำร้ายฝ่ายตรงข้ามต่างฝ่ายต่างไม่ยอมกัน เหตุการณ์ชุลมุนวุ่นวายไปหมด มาริษาเดินผ่านเข้ามาเหตุการณ์พอดีรีบเดินไปหาสุปราณีย์ที่ห้องปกครอง
  • 0 ตอน
  • 0
นิยายโดย
  • 0 คนติดตาม
  • Tag
  • #
บทนำ

เสียงโต้เถียงในห้องทำงานของเพ็ญจันทร์ภายในคฤหาสน์หรูดังขึ้นดุจเสียงฟ้าคำรามในวันที่พายุโหมกระหน่ำ ประมุขของบ้านไม่พอใจที่หลานคนเล็กไม่ยอมทำตามคำสั่งของตนเอง เด็กน้อยที่เคยบังคับให้ทำตามคำสั่งในวันนี้เติบใหญ่กล้าพอที่จะขัดคำสั่งของคนเป็นป้า มัจฉายืนสงบนิ่งไม่มีทีท่าแสดงความกลัวให้เพ็ญจันทร์ได้เห็น การแสดงออกของมัจฉายิ่งทำให้เพ็ญจันทร์โมโหอาละวาดจนห้องแทบพัง มัจฉาก็เช่นกันต่างฝ่ายต่างไม่ยอมกันนับวันความขัดแย้งยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ

เพ็ญจันทร์หญิงสาววัยกลางคนต้องรับภาระเลี้ยงดูพุทธชาดกับมัจฉาหลังจากที่จันทราน้องสาวประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์พร้อมกับมานพตั้งแต่มัจฉาเพิ่งลืมตาดูโลกได้เพียงไม่กี่วัน เพ็ญจันทร์ต้องรับหน้าที่เลี้ยงดูหลานทั้งสองนับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา พุทธชาดเป็นหลานคนโปรดของเพ็ญจันทร์ถูกเลี้ยงมาดุจไข่ในหินเป็นคุณหนูของบ้านส่วนมัจฉาถูกเลี้ยงมาเหมือนกับลูกคนกรรมกรเป็นคนรับใช้ของพุทธชาด ตั้งแต่เล็กจนโตมัจฉาต้องทำหน้าที่ดูแลพุทธชาดทุกเรื่องที่พี่สาวต้องการให้ช่วย การดำเนินชีวิตของทั้งสองคนต่างกันราวนรกกับสวรรค์อีกคนสุขสบาย อีกคนทุกข์ยาก เพ็ญจันทร์ไม่เคยเข้าใจความยากลำบากของมัจฉาเลยเอาตัวเองเป็นที่ตั้งไม่ฟังเหตุผลใด ๆ ทั้งสิ้นตัวฉันเป็นศูนย์กลางของจักรวาลโลกใบนี้เป็นของฉันแด่เพียงผู้เดียว

“ ป้าไม่ให้เรียน ” คำพูดสั้น ๆ น้ำเสียงกระชากอย่างไม่พอใจทำให้ผู้ฟังเข้าใจในความรู้สึกได้เป็นอย่างดี มัจฉารู้คำตอบตั้งแต่เดินเข้ามาภายในห้องแต่ด้วยความจำยอมต้องมาบอกให้เพ็ญจันทร์ได้รับรู้ ทั้ง ๆ ที่ในใจไม่ต้องการให้รับรู้

“ มัจอยากเรียนประมง คุณนายจะมาบังคับให้มัจทำตามใจคุณนายไม่ได้หรอกนะ มัจเป็นคนไม่ใช่หุ่นยนต์ที่จะตั้งโปรแกรมตามใจต้องการให้ทำตามความพอใจของตัวเอง เผด็จการ มนุษย์ผีดิบ คนไร้หัวใจ ”

“ ไอ้เด็กหัวดื้อ จองหอง ใครสั่งใครสอนให้มีนิสัยแบบนี้เถียงทุกคำ ดูอย่างพุทธชาดสิ พี่สาวของแกตั้งแต่เล็กจนโตไม่เคยทำให้ป้าต้องผิดหวัง ป้าบอกอะไรไม่เคยเถียงแม้แต่คำเดียว ดูแกสิเถียงป้าทุกคำ ใช้ได้ที่ไหนนิสัยแบบนี้ ” คำพูดของเพ็ญจันทร์เปรียบเหมือนกับเข็มหลายหมื่นเล่มที่คอยทิ่มแทงหัวใจของมัจฉาเรื่อยมาตั้งแต่เล็กจนโตจนหัวใจดวงด้านชาเกินที่จะรับรู้ถึงความรักของเพ็ญจันทร์ที่เคยมีให้ในขณะที่เพ็ญจันทร์ก็ไม่เคยรู้ว่าคำพูดของตัวเองสร้างบาดแผลทางใจให้หลานตัวเอง

“ ชีวิตของมัจเป็นของคุณนายตั้งแต่เมื่อไหร่ มัจมีสิทธิ์ที่จะเลือกทางเดินของตัวเอง คุณนายได้ยินไหม ” มัจฉาตะโกนใส่หน้าเพ็ญจันทร์สุดเสียงด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด

“ แกต้องเรียนมัธยมปลายเท่านั้นนี่คือคำสั่ง แกได้ยินไหม ”

“ คุณนายมีเหตุผลอะไร ทำไมมัจถึงเรียนประมงไม่ได้ในเมื่อมัจอยากเรียนในสาขาวิชานี้ เมื่อไหร่คุณนายจะเลิกบังคับมัจสักที ดูอย่างพี่พุดสิมีสิทธิ์ที่จะเลือกทุกอย่างในชีวิตด้วยตนเองแต่ทำไมมัจไม่มีสิทธิ์เลือกอย่างพี่พุดบ้าง ”

“ ป้าไม่ให้เรียน เลิกคิดเลิกฝันได้แล้วมันไม่มีวันที่จะเป็นจริงขึ้นมาได้ ป้าไม่มีวันยอมให้มัจเรียนประมงโดยเด็ดขาด ”

“ มัจบอกคุณนายเป็นครั้งสุดท้ายเหมือนกันว่ามัจต้องการเรียนประมงเท่านั้นไม่มีวันไปเรียนมัธยมปลายตามที่คุณนายต้องการเหมือนกัน คุณนายได้ยินไหม ”

“ อยากเรียนประมงก็ตามใจ ป้าไม่ได้บังคับแต่แกต้องหาเงินเรียนเอง เลือกเอาแล้วกันว่าอยากเรียนแบบสบายหรือต้องลำบากหาเงินเรียนเองสมองมีคงคิดได้ไม่ยาก ถ้าไม่เชื่อก็ลองดู ” เพ็ญจันทร์แกล้งขู่มัจฉาเพราะคิดว่ามัจฉาคงล้มเลิกความตั้งใจยอมกลับมาเรียนมัธยมปลายอย่างที่ต้องการแต่ผิดคาดมัจฉายังคงยืนยันคำเดิมที่จะเรียนประมงเหมือนเดิมโดยไม่ได้สนใจคำพูดของเพ็ญจันทร์แต่อย่างใด

“ มัจหาเงินเรียนเองก็ได้ไม่จำเป็นต้องใช้เงินของคุณนาย คุณนายเก็บเงินของตัวเองไว้ให้หลานรักของคุณนายเถอะนะ หลานชังอย่างมัจไม่มีสิทธิ์ในเงินของคุณนาย มัจเข้าใจในชะตากรรมของตัวเองดี ”

มัจฉาพยามกลั้นความเสียใจเอาไว้ไม่ให้เพ็ญจันทร์เห็นน้ำตาของตนเองที่กำลังไหลอาบแก้มรีบใช้มือเช็ดน้ำตาออกจากใบหน้าเดินออกจากห้องของเพ็ญจันทร์ สายฝนกำลังโปรยปรายลงมาอย่างไม่ขาดสาย เพ็ญจันทร์ยืนอยู่ตรงริมหน้าต่างนึกถึงเรื่องราวในอดีตอยู่เงียบ ๆเพียงลำพังคนเดียวในห้อง

“ ป้าขอโทษนะลูก ”

เสียงเรียกของพิมพ์ภาดังขึ้นทำให้เพ็ญจันทร์สะดุ้งตัวด้วยความตกใจหันหลังกลับมาดูยังต้นเสียงพร้อมกับถอนหายใจ

“ มีอะไรหรอพิมพ์วิ่งหน้าตาตื่นมาเชียวหรือว่าเกิดปรากฏการณ์ช้างกินควาย ”

“ ดูคุณผู้หญิงพูดเข้าสิ ดิฉันเห็นคุณหนูวิ่งออกไปจากบ้านไปนานมากแล้วนะคะป่านนี้ยังไม่กลับมาเลยค่ะคุณผู้หญิง ”

“ ว่าไงนะ นี่มันก็ดึกมากแล้วยังจะออกไปไหนอีก ป่านนี้ยังไม่กลับมาอีก ไอ้เด็กคนนี้ทำให้เป็นห่วงอยู่เรื่อยเลย ” เพ็ญจันทร์รีบลุกขึ้นเดินออกจากห้องทันที ในระหว่างที่เพ็ญจันทร์กำลังเดินออกจากบ้านไปตามมัจฉาเดินสวนกับพุทธชาดที่กำลังเดินเข้ามาในบ้านพอดี

“ ดึกแล้วมากแล้วป้าจะรีบไปไหนคะ ”

“ มัจหายออกไปจากบ้าน ป้าจะออกไปตามน้องกลับบ้านไม่รู้เตลิดไปถึงไหนแล้ว ”

“ คิดว่าเรื่องอะไร ป้ากลับเข้าบ้านไปพักผ่อนเถอะค่ะ น้องนั่งกินก๋วยเตี๋ยวอยู่กับเข้มและเบิ้มอยู่ตรงหน้าปากทางเข้าหมู่บ้านเดี๋ยวสักพักคงกลับมา ป้ายังไม่ชินอีกหรอค่ะที่น้องหายออกไปจากบ้าน ” พุทธชาดอมยิ้มเดินจูงมือเพ็ญจันทร์เดินกลับเข้ามาในบ้าน เพ็ญจันทร์ยังรู้สึกกังวลใจกลัวมัจฉาไม่กลับบ้าน

“ พุดโทรถามน้องหน่อยสิว่าจะกลับกี่โมง นี่มันจะสี่ทุ่มแล้ว ทำไมยังไม่กลับบ้าน ป้าเป็นห่วง ” พุทธชาดหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากดโทรหามัจฉาทันที

ร้านก๋วยเตี๋ยริมทางเล็กๆ ถูกสร้างขึ้นอย่างง่าย ๆ โต๊ะและเก้าอี้วางเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ มัจฉา เข้มและเบิ้มกำลังนั่งกินก๋วยเตี๋ยว เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น มัจฉาเหลือบไปมองปลายสายเป็นเบอร์โทรของพุทธชาดใจหนึ่งอยากจะรับสายแต่อีกใจหนึ่งไม่อยากรับสาย มัจฉาถอนหายใจกดรับสายพุทธชาด

“ สวัสดีครับคุณหมอคนสวย ”

“ ทำไมยังไม่กลับบ้าน ดึกมากแล้ว กลับบ้านได้แล้วพี่เป็นห่วงมัวทำอะไรอยู่ ”

“ มัจยังกินก๋วยเตี๋ยวยังไม่เสร็จเลยพี่พุดอีกสักพักก็กลับแล้วไม่ต้องเป็นห่วงใกล้แค่นี้เอง ”

“ รีบกินรีบกลับแล้วกัน พี่รออยู่ ”

“ พี่พุดโทรตามกลับบ้านไปดูดนมนอนแล้วหรอวะ ” เข้มแซวมัจฉาพร้อมกับหยิบขวดน้ำปลาทำท่าเหมือนเด็กกำลังดูดนมออกจากขวด

“ ฮ่า ฮ่า ฮ่า ยิ้มหน่อยสิคุณหนูมัจฉา ” เบิ้มทำท่าเป็นตัวตลกแต่ทั้งสองคนไม่สามารถทำให้มัจฉายิ้มได้แม้แต่นิดเดียว

“ แกจะทำยังไง ในเมื่อป้าเพ็ญไม่ยอมให้เรียนแถมยังบังคับให้แกกลับไปเรียนมัธยมปลาย ”

“ คุณนายบอกกับฉันว่า ถ้าจะเรียนประมงต้องหาเงินเรียนเอง ฉันพอจะมีเงินเก็บอยู่บ้าแต่หลังจากนี้คงต้องหางานทำ ”

“ รอให้ป้าเพ็ญใจเย็นมากกว่านี้แล้วแกค่อยไปบอกอีกสักรอบเผื่อจะยอมใจอ่อน ”

“ รอให้น้ำท่วมหลังเต่า พระราหูมีลูกกับพระจันทร์เสียก่อน คุณนายถึงจะยอมให้ฉันเรียนประมง ”

“ ค่อย ๆ คิดไปแล้วกัน พวกฉันสองคนเป็นกำลังให้ มีอะไรให้ช่วยก็บอกแล้วกัน ” เข้มกับเบิ้มยื่นแขนไปบีบมือของมัจฉาเบา ๆ แสดงความห่วงใยให้กับเพื่อน หลังจากกินก๋วยเตี๋ยวเสร็จเรียบร้อยแล้วเข้มและเบิ้มเดินไปส่งมัจฉาที่บ้านทั้งสามคมเดินปรับทุกข์กันไปจนถึงบ้านของมัจฉา

“ โชคดีนะเว้ย แกไม่ต้องคิดมาก พวกฉันสองคนเป็นกำลังใจให้ ”

เข้มและเบิ้มเป็นเพื่อนสนิทของมัจฉาฐานะทางบ้านของทั้งสองคนค่อนข้างลำบากทั้งสองคนเป็นกำพร้า เข้มอาศัยอยู่กับยาย ส่วนเบิ้มอยู่กับแม่ พ่อของเบิ้มเสียชีวิตไปตั้งแต่อายุได้สามขวบทั้งสองคนมีความสุขตามอัตภาพ มัจฉาเดินกลับเข้ามาในบ้านโน้มตัวลงนอนบนเตียง พุทธชาดเปิดประตูเข้ามาในห้อง มัจฉารีบปาดน้ำตาออกจากแก้ม

“ พี่รู้เรื่องทั้งหมดจากป้าหมดแล้ว ” พุทธชาดถอนหายใจเอามือลูบหัวมัจฉาเบา ๆ มัจฉาลุกขึ้นนั่งเข้าสวมกอดพุทธชาด

“ พี่รู้ว่ามัจอยากเรียน เรื่องค่าใช้จ่ายในการเรียนมัจไม่ต้องเป็นห่วง พี่จะเป็นคนรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด ”

“ พี่พุดไม่ต้องลำบากเดี๋ยวคุณนายรู้เข้าพี่พุดจะโดนดุ ”

“ มัจจะเอาเงินที่ไหนเรียนหรือว่ามัจยอมเรียนมัธยมปลายตามคำสั่งของป้า ”

“ นี่ถ้าพ่อกับแม่ยังอยู่มัจคงมีความสุขมากกว่านี้ คุณนายไม่เคยรักมัจเลย ”

“ มัจอย่าพูดแบบนั้น เดี๋ยวป้ามาได้ยินเข้า ทำไมป้าจะไม่รักมัจละ ถ้าไม่อย่างนั้นป้าจะเลี้ยงมัจมาจนโตหรอ ”

“ พี่พุดไม่ต้องมาปลอบใจมัจเลย ”

“ นี่มันก็ดึกมากแล้วไปอาบน้ำแล้วนอน ทำใจให้สบาย ๆ นะไอ้น้องรัก ส่วนเรื่องเรียนพี่จะช่วยพูดให้ไม่รู้ปากจะยอมใจอ่อนหรือเปล่า พรุ่งนี้มีสอบพี่ขอตัวไปอ่านหนังสือสอบก่อนแล้วกัน ”

มัจฉาหลับตานอนอยู่บนเตียงนึกถึงเรื่องราวในอดีต หยดน้ำตาค่อย ๆ ไหลออกมาอาบทั้งสองแก้มปลดปล่อยความเศร้าออกจากหัวใจ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นค่อย ๆ ใช้มือเอื้อมไปหยิบตรงหัวเตียง

“ ไอ้ชล ”

“ แกร้องไห้ทำไมบอกฉันมาเดี๋ยวนี้ใครทำอะไรแก ” มัจฉาเงียบยิ่งทำให้ชลธีร้อนใจ

“ แกอย่าเงียบสิ ฉันใจคอไม่ดีเลย ”

“ ไอ้ชล ! คุณนายไม่ยอมให้ฉันเรียนประมง คุณนายบังคับให้ฉันเรียนมัธยมปลายแต่ฉันไม่อยากเรียน ”

“ ไม่เป็นไรเว้ย แกรอให้ป้าเพ็ญอารมณ์เย็นแล้วค่อยไปคุยอีกรอบ คุยด้วยเหตุผลอย่าใช้อารมณ์ ฉันหวังว่าป้าเพ็ญจะเข้าใจแก ”

“ ไม่มีวันที่คุณนายจะเข้าใจฉัน เชื่อฉันสิ คุณนายทำเหมือนกับฉันเป็นหุ่นยนต์ไม่ใช่คน ”

“ เอาแบบนี้แล้วกันช่วงนี้แกมาอยู่บ้านฉันก่อนไหม พ่อกับแม่ฉันไม่ว่าหรอก ”

“ แกจะบ้าหรอ ฉันเป็นผู้หญิง แกเป็นผู้ชาย เฮ้ย ! ฉันลืมไปว่าแกเป็นเพื่อนสาว ”

“ พูดเบา ๆ สิเดี๋ยวพ่อกับแม่ของฉันก็ได้ยินหรอก ”

“ โทษทีวะ ฉันลืมไป ”

“ แกมีอะไรให้ฉันช่วยบอกได้ทุกเรื่อง เพื่อนคนนี้ยินดีช่วยด้วยความเต็มใจทุกอย่าง ”

“ เป็นมากกว่าเพื่อนได้ไหม ไอ้ชลฉันรักแกวะ ”

“ ไอ้มัจวันนี้แกเป็นอะไรเมาน้ำตาจนเพี๊ยนไปแล้ว อย่าร้องไห้ไปเลยอ้อมกอดของฉันยังว่างรอแกมาซบ ”

“ แกอย่ามาตอแหล อ้อมกอดของแกมีไว้ให้ไอ้ก้องภพคนเดียวต่างหากละไม่มีที่ว่างสำหรับฉันหรอก ”

“ ครับผมแต่สำหรับแกว่างเสมอ ฉันรอให้แกมาซบอกฉันอยู่ ”

ตลาดสดในเช้าวันอาทิตย์พลุกพล่านไปด้วยผู้คนจำนวนมากที่พากันมาเดินเลือกซื้อของ เข้ม เบิ้ม และมัจฉากำลังช่วยกันเลือกส้มเขียวหวานใส่ลงในถุง โตเดินผ่านเข้ามาเห็นพอดีหยิบฝรั่งขว้างใส่เข้มเต็มแรง เขาทำหน้าเย้ยหยันด้วยความสะใจ เบิ้มคิ้วขมวดไม่พอใจ

“ ไอ้โต ไอ้ชาติชั่วมึงเอาฝรั่งมาเขวี้ยงใส่หัวกูทำไมวะ ”

“ มึงจะทำไม ไอ้ขี้ครอก ”

“ ไอ้ลูกเมียน้อย ” เข้มไม่รอช้าเดินเดินเข้าไปชกหน้าโตจนล้มคว่ำกับพื้น เบิ้มกับมัจฉาคอยกันไม่ให้เพชรเข้าไปทำร้ายเบิ้ม เหตุการณ์บานปลายไปกันใหญ่เมื่อทั้งสองฝ่ายไม่มีใครยอมกัน โตยังไม่หยุดคุกคามเข้มทางวาจา เข้มหมดความอดทนกระโดดถีบโตเต็มแรงจนล้มนอนกองกับพื้น เพชรรีบวิ่งเข้ามาช่วยโตต่างฝ่ายต่างดวลหมัดเข้าหากัน มัจฉาเห็นท่าไม่ดีถีบโตออกจากเข้มหันหลังกลับไปชกหน้าเพชร เหตุการณ์วุ่นวายไปกันใหญ่ไม่มีใครยอมใครทั้งสองฝ่ายตะลุมบอนชุลมุนวุ่นวายไปทั้งแผงผลไม้ในแถบนั้น

“ อีมัจ อีทอมมึงกล้าดียังไงมาถีบกู วันนี้กูจะทอมอย่างมึงมาทำเมียให้ได้ ” โตโกรธมากเดินเข้าไปจับตัวมัจฉา ทักษะการต่อสู้ไม่มีทำให้พลาดท่าเสียถูกมัจฉาจับโยนลงไปกองกับพื้น

“ จับแม่มึงไปทำเมียก่อนแล้วกัน ไอ้ลูกเมียน้อยอย่างมึงไม่มีวันทำอะไรคนอย่างกูได้หรอก ”

“ ไอ้เพชรจัดการพวกมันให้สินซาก อย่าให้พวกมันมีแรงเดินกลับบ้าน ”

“ ไอ้เข้ม ! ไอ้เบิ้ม ! แกสองคนรอเก็บศพไอ้พวกนี้สองตัวได้เลย วันนี้ฉันจะกระทืบไอ้สองตัวนี้ให้จมดินเอาเลือดมาล้างตีนไอ้เบิ้มให้หายแค้น ” มัจฉาไม่รอช้าวิ่งเข้าไปกระโดดถีบเพรชกระและโตกระเด็นไปคนละทางทั้งสองคนยืนขึ้นจะเข้ามาทำร้ายมัจฉาแต่ไม่สามารถทำอะไรมัจฉาได้เลยทั้งสองคนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมัจฉาอาจเป็นเพราะเป็นนักมวยทำให้มีทักษะการต่อสู้มากกว่าทั้งสองคน ผู้ชายสองคนเสียท่าให้ผู้หญิงเพียงคนเดียวสร้างความอับอายกับทั้งสองคน

“ อีนางทอม กูจะไปบอกให้ครูเพ็ญจันทร์จัดการมึง ”

“ ไอ้ลูกเมียน้อย เชิญไปฟ้องเลย กูไม่กลัวหรอกครูเพ็ญจันทร์ ถ้ามึงแน่จริงไปเลยสิ บ้านกูอยู่ใกล้แค่นี้เอง ”

โตชวนเพชรกลับบ้านรอวันกลับมาคิดบัญชีแค้นกับมัจฉารีบพากันเดินออกจากตลาด อีกฟากหนึ่งของตลาดเพ็ญจันทร์กับพุทธชาดกำลังช่วยกันเลือกซื้อปลาอยู่ตรงแผงขายปลาท้ายตลาด โตกับเพชรวิ่งออกมาเจอเพ็ญจันทร์กับพุทธชาดที่กำลังช่วยกันเลือกซื้อปลาทับทิม

“ สวัสดีครับครู ครูช่วยผมสองคนด้วยครับ ” โตแสดงละครฟ้องเพ็ญจันทร์กล่าวหาว่าโดนมัจฉาทำร้ายพร้อมกับเปิดบาดแผลให้เพ็ญจันทร์ดู

“ เกิดอะไรขึ้นบอกครูมาสิ ใครเป็นคนทำร้ายพวกเธอ ”

“ พวกผมสองคนโดนมัจฉากระทืบมาครับ ” เพ็ญจันทร์ถอนหายใจ

“ หนูสองคนเป็นอะไรมาหรือเปล่าลูกเดี๋ยวครูพาไปโรงพยาบาลให้หมอตรวจดูว่าบาดเจ็บอะไรตรงไหนบ้าง ”

“ พวกผมสองคนไม่ได้เป็นอะไรมากครับครูมีแค่รอยฟกช้ำนิดหน่อยครับ ”

“ แน่ใจนะว่าไม่ได้เป็นอะไรมาก ”

“ ครับครู ขอบคุณมากครับ ” พุทธชาดพยายามพูดให้เพ็ญจันทร์อารมณ์เย็นลงเกรงว่าเมื่อกลับบ้านไปเจอกับมัจฉาจะมีเรื่องทะเลาะและกลัวมัจฉาจถูกเพ็ญจันทร์ลงโทษ

“ วันนี้เรามีเรื่องต้องคุยกันยาว กลับมาเมื่อไหร่น่าดู ”

“ ป้าคะ พุดคิดว่าน้องคงไม่ได้ตั้งใจทำร้ายโตกับเพชรคงจะเป็นเรื่องเข้าใจผิดกัน ”

“ เลิกให้ท้ายน้องสักที ป้าเข้าใจว่าพุดรักน้องมากแต่ลูกก็ต้องสอนให้น้องเป็นคนดีไม่ใช่ทำตัวเป็นอันตพาลระรานชาวบ้านแบบนี้ คนประเภทนี้เรียน ขยะสังคม ”

ร้านก๋วยเตี๋ยวเจ๊จุ่ม เข้ม เบิ้มและมัจฉานั่งรอชลธีอยู่ภายในร้าน ชลธีเดินเข้ามาพร้อมทั้งหอบเอกสารและหนังสืออีกหลายเล่มเดินเข้าไปหาทุกคน สายตาของคนในร้านหันมามองชลธีด้วยความสงสัยเข้าใจว่าชลธีเป็นคนเก็บของเก่า

“ ไอ้ชลแกถือของอะไรมาเยอะแยะ หนังสืออะไรของแกถึงได้มากมายขนาดนี้

“ฉันเอามาให้แกอ่านเหลือไม่กี่วันแล้วจะถึงวันสอบ ”

“ สอบอะไรวะ แกเข้าใจผิดอะไรหรือเปล่า ฉันไม่ได้เรียนต่อมัธยมปลาย ขอบใจมาก ”

“ ไอ้มัจ แกหมายความว่ายังไง ในเมื่อป้าเพ็ญไม่ให้แกเรียนประมงเพราะฉะนั้นแกก็ต้องเรียนมัธยมปลายตามคำสั่งของป้ามิใช่หรือไง ”

“ ใครว่าคนอย่างไอ้มัจนั้นหรอจะไปเรียนมัยธยมปลายไม่มีวันเสียหรอก แกก็รู้ว่าฉันไม่ชอบ พรุ่งนี้ฉันไปรายงานที่วิทยาลัยประมง ”

“ แกว่าไงนะ ฉันได้ยินไม่ผิดใช่ไหมแล้วนี่ป้าเพ็ญรู้เรื่องหรือยัง ”

“ ยัง ”

“ ก๋วยเตี๋ยวร้อน ๆ มาแล้วจ๊ะทุกคน ” เจ๊จุ่มวางชามก๋วยเตี๊ยวลงบนโต๊ะ ทุกคนก้มหน้าปรุงก๋วยเตี๋ยวของตนเอง บรรยากาศในช่วงเวลากลางวันภายในร้านพลุกพล่านไปด้วยผู้คนที่แวะเข้ามาภายในร้าน ในขณะที่เจ๊จุ่มและลูกน้องช่วยกันบริการดูแลลูกค้า

“ พรุ่งนี้ฉันต้องไปรายงานตัว ฉันจะให้พวกแกช่วยปลอมตัวเป็นผู้ปกครองให้หน่อย ”

“ ห๊ะ ! ปลอมตัว ” ทุกคนตอบพร้อมกัน

“ ป้าเพ็ญรู้เข้าเป็นเรื่องแน่ ฉันว่าแกไปคุยกับป้าอีกสักรอบดีไหม ”

“ คุณชลธีคะ ! แกน่าจะรู้นิสัยของคุณนายเป็นอย่างดีว่าเป็นอย่างไรแล้วแกจะให้ฉันไปไปบอกอีกทำไม ในเมื่อรู้คำตอบอยู่แล้ว ”

“ ไอ้ชลทำไมแกปอดแหกแบบนี้วะ ไอ้มัจแกไม่ต้องเป็นห่วง พวกฉันสองคนช่วยแกเองรับรองไม่มีใครจับได้แน่นอน ”

“ เรื่องลงทะเบียนของละ เงินจ่ายค่าเทอมแกมีแล้วหรือยัง ถ้ายังฉันพอมีอยู่บ้าง ”

“ เอาเงินพวกฉันไปก่อนไหม ”

“ ฉันขอบใจพวกแกทั้งสามคนมากเลยแต่ฉันไม่จำเป็นต้องใช้เงินลงทะเบียน วิทยาลัยประมงเรียนฟรี ”

ด้วยความเป็นห่วงพุทธชาดรีบโทรมให้มัจฉากลับบ้านแต่ไม่สามารถติดต่อน้องได้ เพ็ญจันทร์รอชำระความกับมัจฉาแต่อีกฝ่ายไม่ทีท่าจะกลับบ้าน

“ เย็นมากแล้วทำไมมัจยังไม่กลับบ้าน ”

“ คุณพุดยังไม่ชินอีกหรอคะ เดี๋ยวสักพักก็คงกลับ ”

“ พุดชินแล้วคะพี่เปรี้ยวแต่วันนี้น้องไปมีปัญหากับเพื่อนแล้วป้าก็รู้แล้วด้วย น้องกลับมาบ้านช้า ป้ายิ่งโกรธเข้าไปอีก ”

“ นึกแล้วเชียว ทำไมวันนี้คุณผู้หญิงกลับมาไม่พูดกับใครเดินเข้าไปในห้องทำงานตั้งแต่บ่ายจนถึงตอนนี้ ”

“ คุณหนูของป้ามาอยู่ที่นี้นี่เอง ของที่คุณหนูให้ป้าเตรียมไว้เสร็จแล้วนะคะ ”

พิมพ์ภาแม่บ้านคนสนิทของเพ็ญจันทร์ทำงานรับใช้ดูแลบ้านหลังนี้มาตั้งแต่สมัยจันทราน้องสาวของเพ็ญจันทร์ยังมีชีวิตอยู่จวบจนกระทั่งทุกวันนี้ ผู้กุมความลับทุกอย่างในบ้านเอาไว้

“ วันนี้คงไม่ได้ทำแล้วจ๊ะป้า ป่านนี้แล้วมัจยังไม่กลับบ้านมาเลย ” พุทธชาดถอนหายใจ เพ็ญจันทร์เดินมาหาพุทธชาดที่ห้องโถง มัจฉาเดินเข้าไปกอดเพ็ญจันทร์ด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม

“ คุณนาย พี่พุด สวัสดีคะ ”

“ นี่มันกี่โมงแล้วทำไมพึงกลับบ้าน พรุ่งนี้ต้องไปรายตัวเข้าเรียน ” มัจฉางงไม่เข้าใจคำพูดคของเพ็ญจันทร์ยิ้มออกมาด้วยความดีใจเข้าใจว่าเพ็ญจันทร์ใจอ่อนยอมให้เรียนปวช.สาขาวิชาประมงตามที่ตัวเองต้องการ

“ คุณนายยอมให้มัจเรียนประมงแล้วหรอ ”

“ ใครบอก พรุ่งนี้ป้าให้มัจไปรายงานตัวเข้าเรียนมัธยมปลายต่างหากละ ”

“ มัจไม่เรียน คุณนายอยากเรียนก็ไปเรียนเองสิ ”

“ ไอ้เด็กคนนี้พูดไม่รู้ฟังยังจะดื้ออีก ”

“ มัจไม่เรียน”

“ ไปไหนมา ทำไมพึงกลับบ้าน ”

“ มัจไปหาไอ้เข้มกับไอ้เบิ้ม คุณนายมีอะไรหรือเปล่า ทำไมวันนี้ดูอารมณ์ไม่ดีเลย ”

“ มี ! ” เพ็ญจันทร์ทำเสียงเข้ม มัจฉาแกล้งทำไม่รู้เรื่อง

“ คุณนายพูดเหมือนมัจไปทำอะไรผิดมาอย่างนั้นแหละ ”

“ วันนี้ไปทำอะไรผิดมาละมีอะไรจะสารภาพไหม ”

“ คุณนายพูดเรื่องอะไรมัจไม่เข้าใจ ”

“ กินอยู่กับปากอยากอยู่กับท้อง ใครสั่งใครสอนให้มีนิสัยแบบนี้ ”

“ คุณนายบอกมาสิว่ามัจทำอะไรผิด ทุกวันนี้มัจทำอะไรก็ผิดทุกอย่างในสายตาของคุณนาย ” เพ็ญจันทร์อึ้งเงียบไปชั่วขณะไม่คิดว่ามัจฉาจะตอบกลับมาอย่างนี้แกล้งทำน้ำเสียงเป็นปกติ

“ พิมพ์ไปหยิบไม้เรียวมาให้ฉัน ”

“ ป้าคะ อย่าตีน้องเลยคะเรื่องแค่นี้เองไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรก็แค่เด็กทะเลาะกัน ” เพ็ญจันทร์ดึงไม้เรียวมาจากมือของพิมพ์ภาพร้อมกับส่งสายดุไปให้ทุกคน มัจฉาถอนหายใจด้วยความเบื่อหน่ายตลอดเวลาที่ผ่านมาเพ็ญจันทร์ไม่เคยทำตัวเป็นผู้ใหญ่ที่ดีรับฟังปัญหาแม้แต่ครั้งเดียวเลย เพ็ญจันทร์ฟาดไม้เรียวลงบนตัวของมัจฉา พุทธชาดเอาตัวมาบังเอาไว้

“ พี่พุด ! ”

“ เจ็บไหมลูก ป้าขอโทษ ” มัจฉาหันไปมองเพ็ญจันทร์กำลังใช้มือลูบแผลที่แขนของพุทธชาด สายตาเศร้า ๆ คู่นั้นกำลังมองเพ็ญจันทร์ด้วยความน้อยใจ

“ พุดผิดเองที่สอนน้องไม่ดีความผิดครั้งนี้พุดขอรับไว้เองคะ ” เพ็ญจันทร์ถอนหายใจยื่นไม้เรียวให้กับเพ็ญจันทร์เดินออกไป มัจฉาโน้มตัวลงนอน พุทธชาดเปิดประตูเดินเข้ามาโน้มตัวลงนอนพลิกตัวเข้าไปกอดมัจฉาทางด้านหลัง มัจฉาพลิกตัวกลับมากอดพุทธชาด

“ พี่พุด คุณนายรู้ได้ยังไงว่าวันนี้มัจไปมีเรื่องกับพวกไอ้โต ”

“ วันนี้พี่ไปตลาดกับป้า ในระหว่างที่เลือกปลาอยู่ โตกับเพชรเดินมาทางนี้เจอกับป้าพอดีเลย หลังจากนั้นสองคนเล่าเรื่องทั้งหมดให้ป้าฟัง ”

“ พี่พุดเจ็บมากไหม ยื่นแขนมาสิมัจทายาให้ ” มัจฉาค่อย ๆ ทายาลงบนแขนของมัจฉาอย่างเบามือ พุทธชาดเอามือลูบหัวมัจฉาพร้อมทั้งยิ้มให้

“ นอนได้แล้วพรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้าไปรายงานตัวพร้อมกับป้า ”

“ มัจไม่ไป พรุ่งนี้มัจต้องไปรายงานตัวที่วิทยาลัย ”

“ หมายความว่ายังไง ”

“ หมายความอย่างที่พูดนั้นแหละ มัจไม่ได้เรียนต่อมัธยมปลาย อย่างที่คุณนายบอกหรอกนะพี่ พรุ่งนี้มัจต้องไปรายงานตัวที่วิทยาลัยประมง ”

“ แน่ใจแล้วหรอที่ทำแบบนี้ ลองคิดทบททวนดูไหมสักรอบดีไหม ป้ารู้เข้าบ้านแตกพี่ไม่อยากจะคิด ”

“ อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด สวรรค์ลิขิตไว้แบบนี้แล้ว ”

“ เอาที่สบายใจนะไอ้น้องรัก ”

มัจฉาตื่นเช้าแต่งตัวออกจากบ้านไปรอเข้มและเบิ้มตรวหน้าปากซอยหมู่บ้าน เข้มแต่งเป็นผู้หญิงปลอมตัวเป็นแม่ของมัจฉา เบิ้มใส่ชุดสูททั้งสามคนขับรถมอเตอร์ไซด์ไปวิทยาลัยประมง บรรยากาศการรายวันรายงานตัวพลุกพล่านไปด้วยผู้คนที่พาลูกจูงหลายมารายงานตัว มัจฉา เข้มและเบิ้มเดินเข้าไปยังหอประชุม ห้องสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ที่ในตอนนี้เต็มไปด้วยคนจำนวนมาที่ทยอยเดินกันเข้ามา บางส่วนเดินออกไป มัจฉาเหลือบไปเห็นสุปราณีย์นั่งอยู่ตรงโต๊ที่ตัวเองไปรายงานตัวทำให้หยุดเดินสูดลมหายใจทำตัวให้ปกติที่สุด

“ ไอ้เข้ม ! ไอ้เบิ้ม ! ป้าสุเป็นครูอยู่ที่นี้ เห้อ ! ทำไมชีวิตของฉันต้องมีแต่อุปสรรคด้วยวะ ”

“ ใจเย็น ๆ ทำตัวให้ปกติที่สุด ป้าสุกับแกไม่เจอแกมานานหลายปี นับตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้เขาคงจำแกไม่ได้หรอก ”

“ สู้ ๆ นะเพื่อน ”

มัจฉารวบรวมความกล้าเดินเข้าไปหาสุปราณีย์วางเอกสารทั้งหมดลงบนโต๊ะ สุปราณีย์ยิ้มก้มหน้าตรวจเอกสาร

มัจฉาพยายามกลบเกลื่อนแสดงอาการให้ปกติที่สุดกลัวสุปราณีย์จะรู้ว่าฐานะของตัวเอง

“ นามสกุลของหนูเหมือนกับนามสกุลเพื่อนของครูเลย หนูเป็นหลานของสุปราณีย์หรือเปล่า ”

“ แค่ญาติห่าง ๆ คะครู ”

“ มัจฉา ! ชื่อของหนูเหมือนกับชื่อของหลานครู ”

“ คนเราชื่อซ้ำกันได้นะคะครูมันเป็นเรื่องปกติมากเลยค่ะ ”

“ ครูก็ว่าอย่างนั้นแหละ สัญญากับครูได้ไหมว่าหนูจะตั้งใจเรียนจะ ไม่หนีครูไปก่อนจบการศึกษา ”

“ คะครู ”

“ ครูเป็นครูประจำชั้นของหนู เจอกันอีกทีวันเปิดเทอม ” หลังจากรายงานตัวเสร็จ มัจฉาเดินไปหาเข้มและเบิ้มอีกฝั่งของห้องประชุมทั้งสองคนนั่งรออยู่ตรงประตูทางเข้า

“ เป็นบ้างวะแก ป้าสุจำแกได้ไหม ”

“ จำไม่ได้แต่คุ้นชื่อและนามสกุลและยังถามอีกว่าฉันเป็นอะไรกับคุณนาย ฉันตอบไปว่าเป็นญาติห่าง ๆ กัน ”

ภายในห้องสี่เหลี่ยม เพ็ญจันทร์นั่งคิดทบทวนเรื่องราวในอดีต วันเวลาผ่านไปเร็วเหมือนกับใบไม้ไหวจากวันนั้นถึงวันนี้สิบแปดปีเต็มที่ต้องปกปิดเรื่องราวในอดีตอันแสนข่มขืนไว้เพียงลำพังคนเดียว ถ้าหากวันหนึ่งมัจฉารู้ความจริงทั้งหมด ความรักที่เคยมีให้จะยังเหมือนเดิมอยู่ไหม ยิ่งคิดยิ่งปวดหัว เสียงเคาะประตูห้องทำให้เพ็ญจันทร์ได้สติ มัจฉาเดินเข้ามาหาในเพ็ญจันทร์ ใบหน้าอันเรียบเฉยของเพ็ญจันทร์ยิ่งทำให้มัจฉากลัวพยายามทำตัวให้ปกติที่สุด

“ ไปไหนมาทำไมไม่ไปรายงานตัวกับป้าปล่อยให้ป้ารอทั้งวัน ”

“ มัจไปรายตัวเข้าเรียนที่วิทยาลัยประมงมาคะ ”

“ ทำไมถึงได้ดื้อแบบนี้ มีหูไว้กันสมองเพียงอย่างเดียวใช่ไหม ป้าบอกแล้วมิใช่หรอกว่าให้มัจเรียนแล้วทำไมยังกล้าขัดคำสั่งของป้า ” มัจฉาถอยหายใจเดินเข้าไปกอดเพ็ญจันทร์

“ ตั้งแต่เล็กจนโตป้าไม่เคยมีของขวัญแม้กระทั่งความรักจากป้า ครั้งนี้มัจขอป้าแล้วกัน ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายในการเรียนทั้งหมดมัจเป็นคนรับผิดชอบเองจะไม่มารบกวนเงินของป้าแม้แต่บาทเดียว ” มัจฉาเดินจากไป เพ็ญจันทร์อึ้งทำตัวไม่ถูกถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้ นานนับหลายปีที่มัจฉาไม่ยอมเรียกตนเองว่าป้าแต่กลับเรียกว่าคุณนาย แต่ในวันนี้กลับเรียกตัวเองว่า ป้า เพ็ญจันทร์รับรู้ถึงความรู้สึกของมัจฉาได้เป็นอย่างดี

“ มัจคงเบื่อที่ป้าชอบบังคับมัจเลยพาลทำให้เข้าใจผิดคิดว่าป้าไม่รัก ทำไมป้าจะไม่รักมัจละลูก ในเมื่อมัจเป็น ” เสียงเรียกของพิมพ์ภาทำให้เพ็ญจันทร์ได้สติรีบเช็ดน้ำตาออกจากใบหน้า

“ คุณผู้หญิงร้องไห้ทำไมคะ ทะเลาะกับคุณหนูมัจฉาอีกแล้วละสิ ”

“ เปล่าวันนี้ฉันไม่ได้ทะเลาะกับยัยมัจหรอกพิมพ์แต่คำพูดของยัยมัจต่างหากที่ทำให้ฉันเสียใจ ”

“ คุณหนูพูดว่าอะไรคะถึงกับทำให้คุณผู้หญิงต้องเสียน้ำตา พิมพ์ไม่อยากจะเชื่อ ”

“ ยัยมัจบอกกับฉันว่า ตั้งแต่เล็กจนโตฉันไม่เคยมีของขวัญให้หรือแม้กระทั่งความรัก ยัยมัจเข้าใจคิดว่าฉันไม่รักแกเลย หมายังรักลูกของมัน ฉันเป็นมนุษย์ ทำไมฉันจะไม่รักในเมื่อมัจฉา

“ อย่าพูดดังไปคะคุณผู้หญิง กำแพงมีหูประตูมีตา เดี๋ยวใครมาได้ยินเข้า ”

“ ขอบใจนะที่ช่วยเตือนสติฉัน ”

“ ความจริงเป็นสิ่งไม่ตายแต่คนเราก็อายที่จะพูดความจริง ถ้าวันหนึ่งคุณหนูรู้ความจริงคุณผู้หญิงทำใจยอมรับได้แค่ไหน ”

มัจฉาแวะมาหาชลธีที่บ้าน ชลธีเดินเล่นอยู่ในสวนหลังบ้าน บริเวณบ้านของชลธีร่มรื่นไปด้วยต้นไม้ นานาชนิดมองดูคล้ายกับป่าขนาดย่อม มัจฉาค่อย ๆ เดินอ้อมไปทางด้านหลังของชลธีเอื้อมมือไปปิดตาชายหนุ่มเอาไว้

“ ทายสิว่าใคร ”

“ คุณหนูมัจฉา ” มัจฉาเอามือออกจาก ชลธีคว้ามือของหญิงสาวเอาไว้ยกมือขึ้นสูดกลิ่นจากอุ้งมือของหญิงสาว มัจฉาแอบเขินแต่แกล้งทำตัวปกติไม่ให้ชลธีจับได้ หัวใจของเธอเต้นแรงทุกครั้งเมื่อได้ใกล้ชิดกับชายหนุ่ม ชลธีเดินจูงมือมัจฉาไปยังบึงท้ายสวน ภายในบึงบัวเต็มไปด้วยกอบัว กอบัวบางหย่อมกำลังออกดอก บางหย่อมดอกกำลังบานสะพรั่ง ชลธีพายเรือ มัจฉากำลังฝักบัว

“ วันนี้ไปรายงานตัวเข้าเรียนและคุณนายก็ไม่พอใจฉันมาก ”

“ เฮ้ย ! ไอ้มัจแกหนีออกจากบ้านมาแบบนี้ไม่กลัวโดนไม้เรียวหรือไง ”. มัจฉาถอนหายใจ

“ ขอหยุดพักเรื่องคุณนายไว้สักหนึ่งวัน วันนี้ฉันเหนื่อย คุณนายไม่เคยรักฉันเลย รักแต่พี่พุดคนเดียวทำเหมือนกับฉันเป็นเด็กเก็บมาเลี้ยงไม่ใช่หลาน ”

“ สำหรับฉันใครจะมองคุณหนูมัจฉายังไง ฉันไม่สน ขอให้แกรู้เอาไว้ว่าฉันรักและเป็นห่วงแกมาก ” ชลธีสบตามองหน้ามัจฉาส่งยิ้มหวานให้กับมัจฉา

“ รักฉันทำไมไม่ให้พ่อแม่ยกขันหมากมาขอสักทีละ ” ชลธีหัวเราะ มัจฉาลุกขึ้นกระโดดลงในบ่อว่ายน้ำมาเกาะขอบเรือ

“ ไอ้มัจแกทำบ้าอะไรเนี่ย ฉันตกใจหมดเลย คราวหลังแกอย่าเล่นแบบนี้อีกนะ ”

ชลธีพามัจฉากลับมาเปลี่ยนเสื้อที่บ้าน ชลธีและสมรกำลังช่วยกันเตรียมอาหารเย็นอยู่ตรงระเบียงบ้าน มัจฉานั่งลง ชลธีตักข้าวใส่จานยื่นให้มัจฉา

“ วันนี้มีคะน้าหมูกรอบของชอบแกด้วย ” ชลธีตักคะน้าหมูกรอบใส่จานข้าว มัจฉายิ้มให้ชลธี

หลังจากรับประทานอาหารเย็นเสร็จ ชลธีชวนมัจฉามานั่งดูพระอาทิตย์ตกดินตรงท้ายสวน มัจฉาโน้มตัวลงนอนหนุนตักของชลธี เขาใช้มือลูบผมของมัจฉาเบา ๆ แสงสีส้มของพระอาทิตย์ค่อย ๆ เลื่อน ๆ หายไป ชลธีขับรถมาส่งมัจฉาที่บ้าน มัจฉาหยุดยืนมองคฤหาสน์หลังใหญ่ตรงหน้าเดินอ้อมไปทางหลังบ้านไม่ต้องการเจอเพ็ญจันทร์

“ ไอ้เด็กคนนี้ดื้อจริง ๆ ฉันห้ามอะไรไม่เคยฟัง ” เพ็ญจันทร์พูดกับตนเอง

หน้าวิทยาลัยประมงในตอนเช้า นักศึกษาชายหญิงทยอยเดินเข้ามาภายในวิทยาลัย แนวต้นสนทอดยาวทั้งสองฝากทางเข้า มองเห็นลานเสาธงอยู่ไกล ๆ ระหว่างทางเดินมีคูน้ำเล็ก ๆ บรรยากาศภายในวิทยาลัยร่มรื่น มัจฉาสวมชุดช๊อปยืนร