Vampireไพรเวทย์ ภาคราชาแวมไพร์
แฟนตาซี-ไซไฟ
Vampireไพรเวทย์ ภาคราชาแวมไพร์
แฟนตาซี-ไซไฟ
ไตรติมา
ภาคราชาแวมไพร์ โอ้ราชาผู้งามสง่ามีดวงตาดุจนิลกาล ไพรเวทย์ เป็นป่าอยู่ระหว่างโลกมนุษย์เป็นเมืองลับแลที่มีหมู่บ้านชายล้วน มีปราสาทแวมไพร์มีเหมืองเพชรพลอยหินสีสวยงามล้ำค่าและสิ่งลึกลับอาถรรพ์มากมาย
  • 3 ตอน
  • 1,440
นิยายโดย
  • 2 คนติดตาม
บทนำ

Vampireไพรเวทย์ ภาคราชาแวมไพร์ บทที่ 1


..........วัดต่างจังหวัดอย่างวัดดอนมีชุมชนคนแก่ชราอายุยืนอาศัยอยู่ร่วมกับลูกหลานเป็นอันมาก ถึงเวลาทุกชีวิตต้องลาโลกไปเป็นธรรมดาทางวัดจึงจัดงานศพบำเพ็ญกุศลได้ทุกวัน

เจ้าภาพท่านใดพอมีทุนทรัพย์ในการจัดงานศพเอิกเกริกมีหนังมีลิเกหรือวงดนตรีมาเล่นนั่นทำให้ชีวิตกลางคืนของชาวบ้านต่างจังหวัดได้มีสีสันคึกคักสนุกสนานแทนที่ความมืดเปล่าเปลี่ยว

ต่อเมื่อมหรสพจบลงหลังเที่ยงคืนทุกคนแยกย้ายกันกลับบ้านลาดจอดรถของทางวัดโล่งไม่เหลือรถสักคัน ถนนข้างวัดมืดด้วยต้นไม้ใหญ่ใบหนาเช่นต้นหูกวางแม้มีไฟทางยังไม่ช่วยส่องสว่างสักเท่าใด บรรยากาศกลับไปวังเวงเปลี่ยวเปล่าดังเก่าก่อนเคยเป็นมา จะเหลียวแลหาผู้ใดไม่มีสักคนได้ยินเพียงเสียงจักจั่นเรไรร้องระงมผสมเสียงสุนัขที่อาศัยอยู่วัดส่งเสียงยาวเห่าหอนอย่างโหยหวนรับกันเป็นระยะซึ่งใครเขาว่ากันว่าถ้าสุนัขหอนแสดงว่ามันเห็นผี!

ความมืดดำทะมึนสลับสุมทุมพุ่มไม้แวดล้อมรอบด้านชวนหลอนให้จิตหวาดระแวงนึกเหมือนเห็นมีเงาคล้ายคนตะคุ่มๆ จ้องมองมา

ชายหนุ่มผมสวยด้วยสีทองย้อมโกรกทรงซอยรากไทรผมหน้าม้าสลวยเงางามเป็นคนสุดท้ายที่เป็นเจ้าของรถกระบะคันเดียวที่เหลืออยู่ในลาดจอดรถมองไปรอบด้านอย่างหวาดหวั่นกับบรรยากาศชวนขนหัวลุก พื้นที่ด้านข้างลาดจอดรถถัดไปเล็กน้อยเป็นสถูปเจดีย์บรรจุกระดูกคนตายตั้งตระหง่านเรียงรายเป็นแถวเป็นแนวซึ่งไม่น่าก่อให้เกิดกลิ่นประหลาดคล้ายกลิ่นคาวเลือดสดอย่างในตลาดขายเนื้อหมูไก่แต่ชายหนุ่มได้กลิ่นเตะจมูกชัดเจน เพียงชั่วครู่หนึ่งกลิ่นนั้นกลับหายไปในฉับพลันอย่างไม่ทันรู้ที่มานั่นน่าแปลกให้สังหรณ์ใจว่าจะเกิดเรื่อง! นึกแค่นั้นพลันขนลุกซู่หายใจไม่ทั่วท้องเกิดอาการปอดแหกสายตาลอกแล่กมองซ้ายมองขวาดูว่ามีใครอยู่ใกล้แถวนี้หรือไม่เผื่อจะได้พอเป็นเพื่อนบ้าง ขณะเดินมาถึงรถของตนจึงกดรีโมทปลดล็อคพลางมือเอื้อมจะเปิดประตูรถ ให้ต้องสะดุ้งตกใจที่จู่ๆ ถูกตบบ่า

“ข้าจะนอนค้างบ้านเพื่อนขอตัวว่ะ ไปดีมาดีโชคดีเพื่อน ขับรถระวังล่ะ”

เพื่อนสนิทที่มาด้วยกันนั่นเองกล่าวอำลาอย่างหน้าตาเฉยไม่รอช้าแล้วหันหลังกลับจะเดินหนีไปในความมืดนั้น ตอนขามามาด้วยกันสองคนเพื่อร่วมงานสวดศพญาติเพื่อนเพิ่งเสียชีวิตแต่ขากลับจะต้องกลับคนเดียวมันให้ทำใจลำบากต้องขับรถลำพังในเส้นทางที่น่าหวั่นกลัว

“อ้าวเฮ้ย! กลับบ้านด้วยกันสิ”

เขาตะโกนลอยๆ ไล่หลังเพื่อนไปอยากให้เพื่อนกลับบ้านพร้อมกัน

คนกรุงเทพฯ สมัยใหม่คงไม่รู้ว่าชาวบ้านสมัยก่อนเขาห้ามทักยามดึกดื่นไม่ว่าจะได้ยินได้เห็นหรือได้สัมผัสสิ่งแปลกประหลาดอันใดก็ตาม เนื่องจากนั่นอาจเป็นของไม่ดีที่สายตามนุษย์ธรรมดาสามัญมองไม่เห็นแต่มันมีจริงจะทำอันตรายได้อย่างใหญ่หลวงหรือมีพิษภัยที่คาดไม่ถึง เช่นเดียวกับการชวนใครกลับบ้านด้วยกันในที่มืดเปลี่ยวโดยไม่ระบุชื่อเฉพาะเจาะจงย่อมเป็นภัย ไม่รู้ว่าใครจะกลับมากับคุณด้วยซึ่งสิ่งนั้นคุณมองไม่เห็นด้วยดวงตาของมนุษย์ธรรมดา!

.