ชัตเตอร์ เลิฟ
เทพผีความเชื่อ
ชัตเตอร์ เลิฟ
เทพผีความเชื่อ
chabasky
ท่ามกลางสงครามเล็กๆ ระหว่างทายาทสองครอบครัวซึ่งกำลังจะใช้คำว่าทองแผ่นเดียวกัน ‘ธิชา’ ยกกล้องตัวโปรดขึ้นกดปุ่มเล็กๆ ด้านข้างเพื่อสำรวจสิ่งที่เพิ่งถ่ายไป ภาพต้นลีลาวดีสูงตระหง่านข้างบ้านร่มรื่นจนน่าเอนหลังฟังเสียงนกหยอกกันเสียจริง หากแปลงที่ดินรกร้างว่างเปล่าให้มีมุมนั่งอ่านหนังสือด้วยก็คงดี แต่เมื่อคิดถึงเป้าหมายอันแท้จริงก็อ่อนใจ เธอแค่มาถ่ายภาพให้เพื่อน ทว่าอยากลองใช้ ‘มัน’ อีกสักครั้ง แม้คำสั่งเสียก่อนลาจากส่งผลต่ออาชีพช่างภาพอิสระมาตลอด "เก็บไว้ส่องผมคนเดียวนะครับ ธี ...ห้ามถ่ายให้คนอื่นล่ะ" เมื่อ 'ของขวัญ' กลายเป็น 'สิ่งต้องห้าม' หญิงสาวจึงเก็บมันไว้อย่างดี หรือควรลองหาวิธีพิสูจน์ให้รู้แน่ชัดว่า จะแตะต้องกล้องตัวนี้ไม่ได้จริงๆ
  • 0 ตอน
  • 0
นิยายโดย
  • 0 คนติดตาม
บทนำ

บทนำ

“สรุปว่า…มาไม่ได้”

เสียงสูงเค้นถามจริงจัง หญิงสาวขมวดคิ้วด้วยหงุดหงิดที่ต้องฝ่าดงจราจรท่ามกลางอากาศร้อนระอุ ไหนจะแผนที่ที่เพื่อนบอกผ่านทางโทรศัพท์อย่างคลุมเครือ ยิ่งมองหาพิกัดไม่พบ ยิ่งพาลระอาใจ

“ถ้าอย่างนั้น ฉันกลับละนะ ขืนเดินสุ่มสี่สุ่มห้าเข้าไป คนแถวนี้คงได้แจ้งตำรวจมาลากคอฉันเข้าตารางแน่ ๆ แกเสร็จงาน คอยว่ากันใหม่ก็แล้วกัน”

‘ธิชา’ เร่งบอกปัด หญิงสาวรู้สึกหงุดหงิดกับนิสัยของเพื่อน เธอวางโทรศัพท์หันหามุมปรับอารมณ์ ไม่น่าเชื่อว่าโลกจะเปลี่ยนว่องไวเพียงนี้ นาฬิกาข้อมือบอกเวลาเจ็ดโมงเช้าเศษ ๆ แต่แสงแรงจนต้องปาดเหงื่อ ร่างสูงไม่ทันก้าวไปไหน เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีก ปลายสายยังไม่เลิกตื้อ

“ว่าไง” คิ้วเข้มขมวดตีกนยุ่งที่มันไม่สมเหตุสมผล หากคนที่อาศัยอยู่ในซอยหูตาไวและตัดสินเธอจากการกระทำล่ะแย่แน่ เธอรีบตัดบทก่อนใจอ่อน

“ดา…แกฟังนะ”

หญิงสาวหมุนตัวหันหาทางเข้าซอยที่ลงทุนเดินเท้าตามหา นิ้วเรียวยกขึ้นบังแสงร้อนแรงแล้วลดลงปาดเหงื่อเคลียแก้มขาว จมูกโด่งเป็นสันรับกับคิ้วดกไร้การตกแต่ง ดวงตาสีน้ำตาลเค้นหาคำชี้แจงให้เข้าใจได้ง่าย ๆ เธอจอดรถไว้ตรงหน้าตลาดที่ไกลโข และเริ่มหมดความอดทนกับแสงยามเช้า

“ถ้าแกไม่มา ฉันก็ไม่ถ่าย” เธอเน้นย้ำชัดเจน

“บ้านหลังนั้นมันไม่ใช่บ้านของแก รึของฉัน เราไม่มีสิทธิ์”

แต่มีเสียงถอนหายใจยาวเหยียดสวนกลับ คงคิดว่าแค่บ่นคำสองคำ ขี้คร้านเธอก็ยอมช่วยเช่นทุกครั้ง

“นะ ธี…นะ แกช่วยฉันหน่อยนะ แค่เดินเข้าไปให้ดูว่ามันสร้างไปถึงไหนแล้ว แค่ภาพเดียว…นะ”

‘ลดา’ พยายามอ้อนตามประสาเพื่อนที่พึ่งพากันเสมอ ทว่าด้วยนิสัยที่ค่อนข้างเก็บเนื้อเก็บตัว ไม่ชอบวุ่นวายกับโลกภายนอก หรือจะนิยามให้ชัดเจนคือธิชามีโลกส่วนตัวสูงลิบลิ่ว โลกที่ไม่ชอบให้ใครเข้าไปวุ่นวาย กว่าจะยอมออกจากพื้นที่ส่วนตัวนั้น ลดาก็ต้องงัดข้อต่อรองอยู่นานสองนาน

ระหว่างการตัดสินใจ ธิชารู้ดีว่าเพื่อนมาไม้เดิม แต่มันเสี่ยงเกินไป อาจถูกแจ้งข้อหาบุกรุก ถ้ามีใครเห็นเข้า

“เอาอย่างนี้นะ ฉันจะเดินไปดูให้ แค่ดู แต่จะไม่ถ่ายภาพอะไรทั้งนั้น”

เธอชายตามองซอยเล็ก ๆ ในตำแหน่งที่ยืนปักหลักคุยโทรศัพท์ ไม่มีร่มไม้สักต้น แดดแรงชะมัด

“แล้วฉันจะโทรหาอีกที…แค่นี้นะ”

ราวกับปลายสายยังมีเรื่องค้างคา แต่คนหงุดหงิดไม่เปิดโอกาส ร่างสูงถอนใจอีกครั้งแล้วเก็บมือถือใส่กระเป๋ากางเกงยีนเข้ารูปสีดำหม่น ขยับปกเสื้อแจ็กเกตน้ำตาลอีกนิด สูดลมหายใจลึก ๆ ก่อนก้าวเข้าไปในซอยที่ไม่คุ้นเคย

มันเงียบเพราะอยู่ห่างจากแหล่งแออัด ตาคมพยายามมองหาบ้านที่ยังสร้างไม่เสร็จ อาจมีไม้หรือนั่งร้านที่ต่อเติมสำหรับช่างทาสี หรือกองทรายกองอิฐที่รอแปรสภาพเป็นวัตถุดิบสำคัญ

“หลังไหนกันนะ”

แม้งานสืบแสวงหาไม่ใช่เรื่องยาก แต่ก็ไม่ง่ายอย่างที่คิด เพราะไม่มีร่องรอยของบ้านสร้างใหม่ ร่างสูงเดินผ่านบ้านทีละหลังอย่างพินิจพิจารนา หลังแรกไม่ใช่อย่างแน่นอน ลดาบอกว่าบ้านของพี่สาวยังไม่มีการตกแต่งสวนหรือปลูกไม้ยืนต้น หรือสิ่งก่อสร้างใดเพิ่มเติมนอกจากตัวบ้าน ทว่าหลังนี้มีไม้ร่มรื่นในเขตรั้วเด่นชัด

ส่วนอีกบ้านมีสนามกว้างและพุ่มไม้สวยงาม บวกรอยยิ้มของเด็กน้อยที่นั่งเล่นอยู่ริมหน้าต่าง ยิ่งสบตาเพียงวินาทีที่เดินผ่าน ยิ่งทำให้ประหม่า ราวกับเด็กน้อยกำลังตามติดหรือจับจ้องเธอ หรือควรเข้าไปถามให้สิ้นเรื่องสิ้นราว

ลดา กับ ลิตา สองพี่น้องคู่นี้เป็นที่รู้จักมักคุ้นมานาน เธอคบหากับลดาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย กระทั่งลิตาหายตัวไปในคืนวันขึ้นปีใหม่ พร้อมว่าที่สามีที่ลงขันปลูกเรือนหอ พวกเขาไม่ติดต่อครอบครัวร่วมสามปีแล้ว ซึ่งการเดินทางไปต่างประเทศเพื่อทำธุรกิจส่วนตัวที่ใช้เป็นข้ออ้างเริ่มฟังไม่ขึ้น ผู้ใหญ่ไม่ปักใจเชื่อว่าธุรกิจนั้นยุ่งยากจนไม่มีเวลากลับมาเยี่ยมเยียนบ้างเชียวหรือ ลดาจึงจำเป็นต้องเร่งตามหาเบาะแสขั้นเข้มข้น

โดยเริ่มจากการระบุตำแหน่งเรือนหอของคนทั้งคู่ ซึ่งมันไม่ง่ายเลย

นอกจากจะไม่สนสิ่งก่อสร้างชิ้นนี้ ลดายังไม่ปลื้มพี่เขยชนิดที่ไม่เสวนาด้วย ลึก ๆ แล้วธิชาก็รู้ตัวว่าถูกเพื่อนหลอกใช้ หรืออาจจะไม่กล้าบอกตรง ๆ เป็นเหตุให้ไม่ชอบพฤติกรรมลับ ๆ ล่อ ๆ ของตัวเองในเช้านี้เลย

เธอทำตัวเหมือนนักสืบเข้าไปทุกที หากยกกล้องถ่ายภาพสักใบคงกลายเป็นปาปารัสซี่สาวจอมอยากรู้อยากเห็น เหนือสิ่งอื่นใดคือลดาควรสนเรื่องในครอบครัวมากกว่านี้ อย่างน้อยก็น่ารู้ว่าบ้านของพี่สาวอยู่ตรงพิกัดใดในซอยที่มีร่มเงาไม้ให้เห็นน้อยมาก

“หลังไหนกันแน่นะ ไม่เห็นมีบ้านสร้างใหม่เลยนี่นา”

คนหงุดหงิดบ่นพึมพำ กระทั่งสายลมเย็นทักทายก็หันมองไม้สูงตระหง่านในผืนดินรกร้างด้วยหญ้าเขียว นกน้อยร้องดังให้ได้ยิน สิ่งมีชีวิตน่าทึ่งก็เห็นจะมีแต่เจ้าสองขาตัวจิ๋วที่ยืนเกาะกิ่งก้านเล็ก ๆ น่าเอ็นดู เธอส่งยิ้มให้เจ้าตัวน้อยที่มีขนสีฟ้าสลับน้ำตาลแกมดำปุกปุย ปากเล็กกระจิดลิด กระทั่งอดใจไม่ไหวก็คว้ากล้องออกมากดชัตเตอร์

“ชอบถ่ายภาพหรือครับ”

เสียงหนึ่งทำสะดุ้ง คนตกใจจึงรีบสงวนท่าทีแล้วเหลียวหลัง

“ขอโทษครับ ผมทำคุณตกใจหรือเปล่า”

หนุ่มหน้าขาว ปากแดง จมูกโด่ง คิ้วเข้มย่นเข้าหากันกำลังส่งยิ้มน้อย ๆ

“เปล่าค่ะ แค่… กำลังเพลิน”

“ช่วงสาย ๆ แถวนี้มีนกเยอะนะครับ ทะเลาะกันแทบทุกวัน ไม่น่าจะต่ำกว่าสิบตัว แต่เช้านี้แปลกมาก ไม่รู้หายไปไหนหมด สงสัยจะเขินกล้อง”

ธิชาทำได้แค่ยิ้ม คนแถวนี้อาจไม่คุ้นเคยกับคนแปลกหน้าที่สะพายกล้องเดินส่องไปทั่ว ชายหนุ่มร่างสูงกว่าเล็กน้อยในชุดเสื้อยืดกางเกงยีน เขากำลังรดน้ำต้นไม้อยู่ริมรั้ว เธอเองก็เพิ่งสังเกตว่าสนามหญ้าเขียวชอุ่มเต็มไปด้วยไม้ประดับที่จัดวางในกระถางอย่างลงตัว

“มีอะไรให้ช่วยไหมครับ” คำถามของเขาสะกิดให้หวนระลึกถึงเป้าหมาย

“ค่ะ คือ…”

ทว่าดวงตาคมภายใต้แว่นขอบดำ รอยยิ้มเล็ก ๆ มีผลต่อสติ หมอนี่ยิ้มมีเสน่ห์ใช่น้อย ผิวขาวจนสาว ๆ ยังอาย ท่าทางสุภาพมีมิตรไมตรีดีทีเดียว

“ครับ…?” เขาถามอีกครั้ง

“ไม่ทราบว่า ในซอยนี้มีบ้านใหม่ที่เพิ่งสร้างไหมคะ”

“บ้านใหม่ เพิ่งสร้าง” เขาขมวดคิ้ว “ไม่มีนะ มีแต่ที่สร้างนานแล้ว แต่ยังไม่เสร็จครับ”

ธิชานิ่งไปสักพัก หรืออาจเป็นหลังเดียวกัน

“คุณมาตามหาบ้าน หรือมาตามหาเจ้าของบ้านครับ”

ชายหนุ่มยิ้มกรุ้มกริ่ม ส่งผลให้คนฟังนิ่งสนิทโดยไม่รู้สาเหตุ อาจเป็นเพราะบ้านหลังนั้นมี ‘เจ้าของ’ ที่หายสาบสูญ หรือเพราะดวงตาฉายแววเจ้าชู้ในที

“ถ้าในซอยนี้ ก็เห็นจะมีอยู่แค่หลังเดียว เริ่มสร้างเมื่อปีที่แล้ว แต่ยังไม่เสร็จครับ”

“รบกวนช่วยบอกหน่อยได้ไหมคะ”

“ได้ครับ แต่ว่า... คุณมีธุระอะไร ตกลงมาหาบ้านหรือมาหา…” เขาลากเสียงรอคำตอบ

ธิชาน้ำท่วมปากด้วยสับสนว่าควรตอบตรง ๆ หรือเงียบไว้ก่อนดี

“ขอโทษที่ต้องถามครับ ซอยนี้เราอยู่กันแบบครอบครัว พึ่งพาอาศัยกันมานาน ผมเดาว่าคุณคงมาตามหาเจ้าของมากกว่า พูดก็พูดเถอะนะครับ พวกเราเองก็ลุ้น ๆ ให้เรือนหอหลังนี้สร้างเสร็จในเร็ววัน...คงสวยน่าดู”

หมอนี่รู้ว่าลึกถึงขั้นเป็นเรือนหอ ธิชาจึงเหลียวมองต้นไม้ใหญ่ริมรั้วเหล็ก ต้นที่นกน้อยโบยบินลาจาก เมื่อหันกลับชายหนุ่มก็เหม่อมองในทิศทางเดียวกัน มือถือสายยางที่ปล่อยน้ำไหลเอื่อย

หลังคาทรงสูง สีอิฐแดงเข้ม เสาต้นใหญ่ค้ำจุนผิวผนังสีขาวนวล ประตูหน้าต่างตกแต่งขอบลวดลายศิลปะแบบตะวันตก พญาอินทรีย์ปูนปั้นกางปีกสง่าเหนือแท่นน้ำพุหน้าลานบันได สิ่งปลูกสร้างนี้ดูคล้ายคฤหาสน์มากกว่า ตอนแรกที่เดินเข้าไปส่องนกน้อย ธีรกานต์ไม่ทันสังเกตเพราะหลงใหลได้ปลื้มกับสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ

“ลิตาเป็นเพื่อนของผม และถ้าคุณมาหาเขา ผมคงต้องแนะนำให้ติดต่อกับครอบครัวของเขาโดยตรงครับ”

ธิชาฟังเพียงผ่านหู เธอเหม่อมองบ้านที่เพิ่งสร้าง มันหาใช่ชิ้นงานสำหรับผู้อยู่อาศัยคนสองคน ร่มไม้ใหญ่บริเวณรั้วหน้าบ้านปกคลุมพื้นที่ภายในจนแทบมองไม่เห็น สองเท้าของตากล้องสาวก้าวเข้าใกล้อีกนิด พื้นถนนในซอยขั้นกลางเพียงเหลียวหลังก็มีบ้านของชายหนุ่มอยู่ตรงข้าม

“ลิตาหายไป ตั้งแต่คนงานติดตั้งรั้วเสร็จ ผมเองก็รอให้ย้ายเข้ามาอยู่เสียที”

ยิ่งเข้าใกล้ ยิ่งใจหวิว ธิชาเผลอจ้องดวงตาพญาอินทรีย์อยู่อย่างนั้น สายลมโชยพัดต้องผิวกายผะแผ่ว แต่มีแรงผลักให้รู้สึกคล้ายถูกดึงเข้าหา ทั้งความสง่างามแฝงด้วยอำนาจ สีขาวนวลมีร่องรอยคราบแดดฝน นาทีที่นิ้วแตะซี่รั้วเหล็ก หัวใจก็ไหววูบ รู้สึกราวกับความหมองหม่นภายใต้เงาไม้ปรากฏให้สัมผัส

‘ภาพเดียวก็พอนะ นะ ธี... ช่วยฉันหน่อย ฉันอยากเห็นจริง ๆ’

เพียงคำของลดาแว่วมา ธิชาก็ยกกล้องขึ้นเล็ง นกใหญ่ตัวนี้สง่างามและสวยเกินห้ามใจ ดวงตาสีแดงสดสะกดให้นิ่งสนิท ขนแผงปลิวตามแรงลมราวกับมีชีวิต จังหวะที่สมองสั่งให้กดชัตเตอร์ สองเท้ากลับก้าวถอย ปากงองุ้มของพญาอินทรีย์ขยับ มันขยับ!

หญิงสาวกำเลนส์กล้องตัวเก่งไว้แน่น ใจเต้นแรงแล้วสะดุ้งเฮือกเมื่อชนเข้ากับคนข้างหลัง

“เพื่อนบ้านดี ๆ อย่างลิตา หาไม่ได้ง่าย ๆ นะ… คุณว่าไหม”

ชายหนุ่มขยับเข้าใกล้ รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ฉายชัด ยิ้มที่มีรอยบุ๋มบนแก้มทั้งซ้ายขวา สองมือประคองบ่าที่เจ้าตัวรู้สึกถึงความหนักอึ้ง ธิชาไม่อาจละจากดวงตาคมที่เปลี่ยนเป็นสีแดงทีละนิด เธอเริ่มหายใจไม่สะดวก รอบกายหมุนโคลง

รู้ตัวอีกทีก็เบาหวิวอยู่ในอ้อมแขน เขาออกมายืนนอกรั้วบ้านตั้งแต่ตอนไหน

ไม่ทันไถ่ถาม คนเหม่อมองเจ้าของตาสีแดงก็ได้ยินเพียงเสียงที่ลอยมาตามสายลม ก่อนที่ทุกสิ่งรอบกายจะเริ่มเลือนราง จางหาย…


“คราวหน้า… คุณควรให้เขามาดูด้วยตัวเอง มันเห็นชัดกว่ามองผ่านเลนส์… มากนัก”