“แกต้องล้อฉันเล่นแน่กาเบรียล...แกมาซุกหัวอยู่ที่นี่เองหรอ” เจ้าของชื่อเบือนหน้าจากสนามแข่งด้านล้างขึ้นมองร่างสูง พี่ชายของเขาหน้ายักษ์ ผลักไหล่ผู้คนที่เดินสวนกันพร้อมส่งเสียงตะโกนแข่งกัน ตรงมาหาเขาด้วยสีหน้าถมึงทึงมุ่งร้าย “แกเบี้ยวประชุมงบประจำปี ไอ้น้องเวร”
‘ไอ้น้องเวร’ ไม่ทุกข์ร้อนกับน้ำเสียงหรือคำเรียกตัวจากพี่ชาย กาเบรียลเพียงยกแก้วเหล้าในมือขึ้นมากระดกลงคอ กว่าเขาจะยอมเงยหน้ามองพี่ชายก็เมื่อปริมาณเหล้าในแก้วของเขานั้นไม่เหลืออยู่แล้ว “ผมเป็นสปอนเซอร์วันนี้...ครูซ” เขาตอบกลับเสียงเกรี้ยวกราดของพี่ชายด้วยเสียงราบเรียบ ก่อนเบือนหน้ากลับลงไปในสนามแข่งม้า ที่มีฝุ่นดินตลบอบอวนตามหลังฝูงม้าไม่ห่าง
“แต่แกจะหายหัวไปเฉยๆแบบนี้ไม่ได้กาเบรียล แกเป็นผู้บริหารนะ” ครูซขู่น้องชายลอดไรฟัน แต่พอเห็นสายตาที่น้องเขาเหม่อมองลงไปในสนามแล้ว ครูซก็เอาเรื่องกับกาเบรียลหนักมือไม่ได้อย่างที่ตั้งใจไว้ในตอนแรก
“โทษที” เสียงทุ้มของผู้เป็นน้องชายเอ่ยขออภัย แต่หากเสียงนั้นกลับฟังไร้ความรู้สึกผิดต่างจากคำพูด “ผมลืม...”
“แกตั้งใจลืม” ครูซดักทางน้องชายอย่างรู้ไส้รู้พุงกันดี เหตุพวกเขานั้นเหลือกันอยู่แค่สองพี่น้อง และจังหวะที่ครุซทรุดตัวนั่งพร้อมกับจะเริ่มบทสวดใส่น้องชาย ร่างสูงใหญ่ของบุรุษอีกคนก็ก้าวเข้ามาร่วมโต๊ะ
“อ้าว พี่ครูซ...ผมไม่รู้ว่าพี่จะมาด้วย”
“แกก็มาด้วยหรือการ์เร็ต” ครูซช้อนสายตาขึ้นมองผู้มาเยือนคนใหม่ ซึ่งอายุไล่เลี่ยงกับน้องชายของเขา ชายชื่อการ์เร็ตพยักหน้ายิ้มๆ ทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ที่ยังว่างอยู่ ก่อนเอ่ย
“ครับ ผมแวะไปลงเงินเดิมพันมา” เขาว่าพร้อมกับชูตั๋วใบเล็กในมือ ทำให้กาเบรียลอดเลิกคิ้วแปลกใจไม่ได้
“แกลงเงินข้างเกรย์หรือ” กาเบรียลหันมาถามเพื่อน คาดไม่ถึงว่าแอรอนนั้นจะวางเงินเดิมพันม้าของตน “นั่นมัน 25 ต่อ 1 เลยนะ”
“ฉันไม่ได้เดิมพันให้เกรย์” การ์เร็ตยิ้มเผล่ หลบตาเพื่อนสนิทและครูซ ก่อนโหนกแก้มแกร่งนั้นจะมีสีเข้มขึ้นจนสองพี่น้องต้องแปลกใจ “ฉันเดิมพัน ‘ราซากา’ “
“ราซากา...ม้านั่นไม่ได้ขาหักไปเมื่อสองฤดูกาลก่อนหรือไง” กาเบรียลท้วง ราซากา เคยเป็นมาฝีเท้าดีตัวหนึ่ง เขาเองก็เคยมีที่แผนจะซื้อมันหากแต่ว่ามันไม่มาชิงขาหักไปเมื่อสองฤดูกาลก่อนหน้า “มันหายดีแล้วหรือ”
“หายแล้ว” การ์เร็ตเงยหน้า ขมวดคิ้วมองหน้ากาเบรียลอย่างไม่มั่นใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะอ้อมแอ้ม “เดิมพันราซากา 80 ต่อ 1”
“แล้วนี่แกลงเงินไปเท่าไหร่” กาเบียลออกปาก ก่อนที่จะรู้ตัวว่าเริ่มทำตัวเซ้าซี้เพื่อนมากจนผิดวิสัย แต่จะให้เขาทำอย่างไรได้เมื่อเจ้าราซากาตัวนี้ ครั้งหนึ่งก็เคยเป็นม้าที่เขาหมายตาเอาไว้
“ห้าร้อย”
“แกเสียสติไปแล้วแอรอน...” นั่นเป็นคำพูดของครูซ หลังจากฟังเด็กหนุ่มทั้งสองพูดคุยกันอยู่นาน “ไม่อย่างนั้นแกก็ต้องโง่...หรืออาจจะทั้งสองอย่าง แกเดิมพันข้างม้าขาหักนี่นะ เจ้าโง่”
“ครับ...” การ์เร็ตขมวดคิ้ว รู้ดีว่าในเกมวันนี้แทบจะไม่มีใครเดิมพันข้างม้าขาหักตัวนี้เลย และคนพวกนั้นต่างหากที่เป็นคนโง่...ไม่ใช่เขา
“แกนี่นะ...” ครูซกระตุกยิ้มมุมปาก สั่นศรีษะอย่างระยากับความเยาะแยะไม่เอาไหนของการ์เร็ต ที่พวกผู้หญิงในบริษัทพากันชื่นชมว่า ‘อ่อนโยน’ รอยยิ้มเย้ยหยั่นนั้นเป็นเพียงรอยยิ้มเดียวที่ผู้คนจะได้จากครูซ ไมเคิลสัน การ์เร็ตจึงไม่ได้ติดใจเอาความ
หรือพูดตามจริงก็คือ..วันนี้พี่น้องไมเคิลสันไม่มีทางทำให้เขาสนใจไปมากกว่านี้ได้ แม้ทั้งสองจะลงมือฆ่ากันบนโต๊ะก็ตาม
เรื่องที่สองพี่น้องไมเคิลสันไม่ลงรอยกันนั้นเป็นท่ีรับรู้ของทุกคนในวงการธุรกิจ เพราะนอกจากสองพี่น้องนี้จะหล่อไม่บันยะบันยังแล้ว พวกไม่เคิลสันยังพ่วง ‘ความเลว’ มาเต็มพิกัด จนเป็นที่เลื่องชื่อลือชาไปทั้งวงสังคม
ไมเคิลสันคนพี่นั้นจะชื่อดังเรื่องความเจ้าเล่ห์ และเล่นเกมธุรกิจด้วยวิธีสกปรกกว่าที่ใครจะจินตนาการถึง และไมเคิลสันคนน้องเองก็ไม่ได้เจ้าเล่ห์ยิ่งหย่อนไปกว่าพี่ เพียงแต่กาเบรียลนั้นยังไม่มีโอกาสวาดลวดลาย โชว์ฤทธิ์เดชอย่างพี่ชายเพราะเขาเพิ่งลงมาร่วมเกมธุรกิจ ในนามไมเคิลสันได้เพียงไม่กี่ปี
“คุณครูซครับ...เรียบร้อยแล้วครับ” บอดี้การ์ดที่ติดตมครูซเดินมาร่วมโต๊ะ ก่อนจะส่งกระดาษใบเล็กให้เจ้านายหนุ่ม ซึ่งเป็นตั๋วแบบเดียวกับที่การ์เร็ตเคยโชว์ให้สองพี่น้องไมเคิลสันดู
“ขอบใจ” ครูซเหยียดยิ้มมุมปากกว้างกว่าเดิม หลังจากรับกระดาษนั้นมา ชายที่กุมบังเหียนพว่งตำแหน่งผู้นำตระกูลไมเคิลสันไหวไหล่เพียงเล็กน้อย เมื่อกาเบรียลจ้องเขาด้วยสายตามีคำถาม ก่อนจะพูดว่า “อะไร...มองหน้าฉันอย่างนั้นหมายความว่ายังไงไอ้น้องเวร ฉันก็แค่หากำไรเล็กๆน้อยๆเป็นค่าเสียเวลา เผื่อม้าของแกฟลุคชนะขึ้นมาไงล่ะ”
“เกรย์ของผมไม่แพ้หรอก...” กาเบรียลเข่นเขี้ยว ตวัดสายตาลงไปในสนามแข่งเมื่อเกมที่ผ่านมาได้ผู้ชนะเรียบร้อยแล้ว
ก่อนที่ครูซจะได้อ้าปากค่อนแคะน้องชาย จู่ๆการ์เร็ตก็ลุกพรวดขึ้นจากโต๊ะ เพื่อลุกขึ้นไปทักทายหญิงสาวคนหนึ่ง คนที่สองพี่น้องไมเคิลสันนั้นแทบจะไม่คุ้นตา หรือเรียกง่ายๆว่าไม่เคยเห็นหน้าผู้หญิงคนนี้มาก่อน
แต่สิ่งกาเบรียลและครูซรู้อย่างเดียวก็คือ ถ้าโลกนี้มีนางฟ้าอยู่จริงๆล่ะก็ ผู้หญิงคนนี้จะต้องเป็นสิ่งมีชีวิต ที่ล่องลอยอยู่บนสรวงสวรรค์อย่างแน่นอน
“ฮันนี่...” การ์เร็ตพูดด้วยเสียงละเมอ ดวงตาเลื่อนลอยเหมือนคนเพ้อ แต่ครูซกับเบ้หน้าเมื่อได้ยินถ้อยคำหวานเลี่ยนนั้น และกาเบรียลเองก็ทำท่าผะอืดผะอมไม่แพ้พี่ชาย
เรียกกันว่า ‘ที่รัก’ งั้นหรือ...นรกเถอะ
“การ์เร็ต!” หญิงสาวคนนั้นหันขวับ ระบายยิ้มเล็กๆเมื่อเห็นว่าใครเป็นคนเรียกเธอ “ไม่คิดว่าจะมาเจอคุณที่นี่ด้วย สบายดีหรือคะ”
“ผมสบายดีครับ” การ์เร็ตยิ้มนิดๆ มองสำรวจร่างบางแต่สูงโปรงก่อนจะเลื่อนสายตาขึ้นมามองหน้าหญิงสาวที่ ยังคิดตรึงอยู่ในความทรงจำของเขาอย่างไม่ใครก็ไม่สามารถแทนที่ได้ “ฮันนี่ล่ะ สบายดีหรือเปล่า”
“ฉันสบายดีค่ะ” ฮันนี่ แบล็คครอสส์ เทรเวน ตอบ เธอพยักหน้าเร็วๆ พร้อมรอยยิ้มสดใสของเธอทำให้อากาศร้อนจัด ในเวลาบ่ายนั้นเย็นลงจนการ์เร็ตอยากจะเก็บเธอไว้ข้างตัวตลอดไป และจะดีที่ที่สุดถ้าเขาสามารถเก็บเธอไว้บนเตียงของเขาตลอดได้กาล...แต่มันเป็นไปไม่ได้ เพราะเขามัน...
“อย่ามาใกล้ฮันนี่ของเรานะ พวกเดอร์ครองส์สกปรก!” เสียงแหลมแปร๋นนั้นดังมาจากร่างบอบบางของเด็กผู้หญิง ที่เพิ่งก้าวอาดๆมาประจันหน้ากับศัตรูคู่ขวัญของครอบครัว
“วิกกี้!” ฮันนี่หันไปถลึงตาใส่ลูกพี่ลูกน้อง เกือบจะลมจับเพราะคำพูดเผ็ดร้อนที่เด็กสาวใช้เล่นงานการ์เร็ต
แต่วิกตอเรีย เทรเวน หรือวิกกี้ กลับทำเพียงไหวไหล่ ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้กับสายตากดดันให้เธอขอโทษจากฮันนี่
“ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้หมอนี่มาอยู่ใกล้ตัวล่ะฮันนี่” คำพูดไร้สำนึกของเด็กสาวทำให้สองหนุ่มที่มาพร้อมการ์เร็ต นั้นอดฉุนให้เด็กที่ชื่อวิกกี้ไม่ได้ ครูซลุกขึ้นมายืนซ้อนหลังการ์เร็ตตามด้วยกาเบียลน้องชาย กลายเป็นว่าตอนนี้สองพี่น้องไมเคิลสันนั้นประกาศตัวเป็นศัตรูกับสองสาวกลายๆแล้วตอนนี้
“พวกไมเคิลสัน...” วิกกี้ปรายตามองร่างสูง ก่อนจะตวัดขึ้นมามองหน้าศัตรูของครอบครัวอย่างการ์เร็ต “เข้าใจเลือกเพื่อนนี่”
“วิกตอเรีย...” ฮันนี่เรียกลูกพี่ลูกน้องของเธอด้วยชื่อรอดไรฟัน หน้างามตึงสนิทเมื่อเหตุการณ์ทำท่าจะบานปลายใหญ่โต เพราะปากของน้องสาวคนเล็กของบ้าน เล่นเอาเจ้าของชื่อหน้าถอดสี
“เค้าขอโทษฮันนี่” วิกกี้สบัดหน้า ยอมเป็นฝ่ายถอยเมื่อฮันนี่เริ่มเอาจริง ไม่ถือหางเธอเหมือนครั้งก่อนๆ “เค้าอดไม่ได้จริงๆ”
“อ้าว พวกเดอร์ครองส์นี่เอง นึกว่าใคร” เสียงทักท้วงอย่างแปลกใจของผู้ที่มาใหม่ทำให้ทุกคนนั้นหันไปมองเธอเป็นตาเดียว แต่หน้างามนั้นกลับไม่แสดงความรู้สึกอะไร หญิงสาวเพียงหยิบบ๊อบคอร์นในถังใส่ปาก แล้วยักคิ้วกวนๆส่งให้การ์เร็ต “มายุ่มย่ามอะไรกับฮันนี่ของเราอีกมิทราบ”
“ฉันแค่ทักทายฮันนี่...ซินแคลย์” การ์เร็ตอธิบายหน้าตาย เหมือนว่านี่เป็นเหตุการณ์ที่เขาเจอจนชินชา แต่ซินแคลย์ เทรเวน กลับหัวเราะในลำคอ เอียงหน้ามองการ์เร็ตด้วยสายตามีประกายบางอย่าง “แต่น้องสาวของคุณมาหาเรื่องเสียก่อน"
“แปลกใจจริงจริ๊ง” ซินแคลย์พูดเสียงแหลม แต่ก็หยิบข้าวโพดคั่วใส่ปากไม่หยุด “ไปนั่งกันเถอะวิกกี้ อย่างมากหมอนี่ก็ทำได้แค่ฝันเท่านั้นแหละ”
การ์เร็ตข่มฟันเข้าหากันจนได้ยินเสียงกรอดๆ เมื่อสบสายตาเย้ยหยันของซินแคลย์ เขารู้ว่าซินแคลย์รู้ว่าเขารู้สึกยังไงกับฮันนี่ และพวกเธอก็ตั้งใจจะขัดขวางเขาเต็มที่เหมือนกัน “ให้ดมกลิ่นฮันนี่นิดๆหน่อยๆ แล้วค่อยพาฮันนี่ของเรากลับบ้านก็ยังไม่สาย...ถือเสียว่าทำบุญ”
“ถ้ายังไม่มีใครขอโทษการ์เร็ต พี่จะไม่พูดด้วยอีกเลย” ฮันนี่พูดอย่างหมดความอดทน แต่สองสาวที่จิกกัดการ์เร็ตอยู่เมื่อครู่ถึงกับตาเหลือก หันมองหน้ากันอย่างปรึกษาหารือก่อนจะยอมขอโทษชายหนุ่มที่พวกเธอหมายหัวอย่างเสียไม่ได้
“ขอโทษ!” วิกตอเรียและซินแคลย์กัดฟันพูดสุดฤทธิ์ แต่ว่าหญิงสาวที่คนนั้นดูเหมือนจะยังไม่พอใจกับสิ่งที่ได้จากน้องๆจึงพูดอีก
“พูดใหม่ พูดดีๆด้วยล่ะ” การ์เร็ตยกมือขึ้นกอดอก มองหน้าสองสาวที่ปากจัดยิ่งกว่ากรรไกรด้วยสายตาเหนือว่า รอฟังคำขอโทษด้วยสีหน้าของผู้ชนะ
“ขอโทษค่ะ” สองสาวเทรเวนกัดฟัน ขอโทษตามที่ฮันนี่ต้องการแล้วรีบสะบัดก้นไปยังที่นั่งของตนเอง ซึ่งก็อยู่ห่างไปจากการ์เร็ตและเพื่อนๆของเขาไม่มากนัก
แต่ก่อนที่สองสาวจะถึงที่นัง เสียงหนึ่งก็ลอยมากระทบหูของแม่คนเจ้าคิดเจ้าแค้นที่สุดในบ้านเสีบก่อนซะนี่
“เด็กเปรต...ไม่มีมารยาท” ครูซสบถตามหลังบางด้วยความตั้งใจให้เธอได้ยิน และวิกตอเรียก็หันขวับกลับมาหาเขา จ้องหน้าเขาด้วยสายตาเชือดเฉือนเต็มที่
“ตาแก่ปากหมา” หล่อนเอาคืนอีกฝ่ายด้วยคำพูดเจ็บแสบ แล้ววิกตอเรียก็เดินดุ่มๆ ตรงไปกระแทกตัวหันหลังให้ศัตรูคู่ขวัญของบ้าน พร้อมกับศัตรูรายใหม่ที่เพิ่มเข้ามาในบัญชีดำของเธอ
พวกไมเคิลสันตัวแสบ...
“ฉันขอโทษแทนน้องๆด้วยที่เสียมารยาท” หญิงสาวเพียงคนเดียวท่ียังยืนอยู่ขอโทษขอโพยชายหนุ่มหน้าซีดเผือด โดยเฉพาะชายแปลกหน้าที่วิกกี้เพิ่งด่าไปเมื่อครู่ “วิกกี้แก...เอาแต่ใจนิดหน่อย”
“คุณน่าจะสอนน้องคุณก่อนจะพาออกมาเจอผู้คนนะ” ครูซพูดออกไปตามประสาคนปากไว ก่อนจะร้องอุบเมื่อการ์เร็ตใช้หลังมือตบหน้าอกเขาแรงๆ บังคับให้ครูซต้องหยุดพูดเพราะจุกหน้าอก “ไอ้การ์เร็ต...”
“ฉันเอ่อ...”
“ช่างมันเถอะฮันนี่...ผมเข้าใจ” การ์ล็อตยิ้มอ่อนโยน เข้าใจความรู้สึกของคนกลางอย่างฮันนี่ดี จึงไม่อย่างทำให้หญิงสาวยิ่งรู้สึกแย่เพราะเขา
“แต่เพื่อนคุณ...ยายวิกกี้นี่ก็จริงๆ ก่อนมาก็คุยกันแล้ว” ฮันนี่บ่น หน้าตูมขึ้นเล็กน้อยแต่ก็ยังสวยสำหรับการ์เร็ต “คราวหน้าคงพามาไม่ได้แล้ว”
“คุณจะห้ามเธอหรือ” การ์เร็ตเลิกคิ้ว ยิ้มกว้างเมื่อเห็นสีหน้าซังกะตายของฮันนี่
“ห้ามได้ก็ดีน่ะสิคะ” หญิงสาวพ่นลมหายใจออกจมูกแรงๆ ก่อนจะยกมือทัดผมสีดำขลับของเธอไว้หลังหู เมื่อโดนลมเล่นงานจนผมยาวนั้นปลิวสะบัด
“นี่เบลล่าเป็นไงบ้าง พร้อมแล้วหรือยัง” การ์เร็ตเปลี่ยนเรื่อง หลังเห็นว่ากาเบรียลดึงครูซกลับไปนั่งที่เรียบร้อยแล้ว ตรงนี้จึงเหลือแต่เขากับฮันนี่เพียงสองคน
“ดีค่ะ” ฮันนี่ยิ้มออกมาได้เมื่อชายหนุ่มไม่แสดงท่าทีติดใจเรื่องลูกพี่ลูกน้องของเธอ “แต่วันนี้ตื่นเต้นหน่อย...เพราะราซากาเพิ่งกลับมา”
“ต้องแน่อยู่แล้ว...คุณลงพนันหรือเปล่าฮันนี่” การ์เร็ตถาม รอยยิ้มยังแต้มอยู่บนหน้าคล้ามอย่างคนมีความสุข ใครบ้างเล่าจะไม่มีความสุขที่ได้คุยกับคนที่ตัวเองแอบชอบ
“ร้อยเหรียญค่ะ” ฮันนี่กลอกตาขึ้นฟ้าเมื่อดึงตั๋วออกมาให้การ์เร็ตดู ยิ่งเห็นว่าเขายิ้มขำใส่เธอเหมือนกำลังกลั้นหัวเราะ หน้างามก็เห่อร้อนไปด้วยความอับอาย “วิกกี้บังคับฉันหรอกน่า ฉันไม่ได้อย่างเล่นการพนันเสียหน่อย”
“ไม่เลยที่รัก...ไม่เลย...” การ์เร็ตก้มหน้าลงเพื่อซ่อนรอยยิ้ม ขยับเข้าไปยืนเคียงร่างบอบบางของหญิงสาวในดวงใจ ก่อนวางมือที่บั้นเอวคอดกิ่วแล้วเสนอตัว “มาเถอะ ผมจะเดินไปส่ง”
“มือค่ะ” หญิงสาวเงยหน้ามองการ์เร็ต เธอเป็นคนตัวสูง...แต่เขาสูงกว่าเธอมาก ฮันนี่จึงมองเห็นเขาเพีบงแค่ซีกหน้าคมคาย “ปล่อยก่อน”
“พวกเขาฆ่าผมไม่ได้หรอกที่รัก” การ์เร็ตหลุดหัวเราะออกมาเมื่อเห็นสีหน้ากังวลของคนในอ้อมแขน มือแกร่งถือวิสาสะเลื่อขึ้นมาลูบแก้มนวล เหมือนกำลังจะปัดฝุ่นออกแม้บนใบหน้างามนั้นไม่มีฝุ่นอยู่จริง
“แต่คุณพ่อของเราจะทะเลาะกัน” ฮันนี่บอกเหตุผลที่การ์เร็ตไม่ควรทำตัวสนิทสนมกับเธอ “ฉันยังอยากเป็นเพื่อนกับคุณอยู่นะคะ”
“แต่ผมไม่อยากเป็นเพื่อนกับคุณ” การ์เร็ตบอกความต้องการอีกอย่าง ขณะที่คนฟังอ้าปปากค้าง ไม่ใช่ไม่รู้ว่าเขาคิดกับเธออย่างไร แต่ไม่คิดว่าการ์เร็ตจะกล้าพูดมันออกมาตรงๆอย่างนี้ พอเห็นว่าหญิงสาวอึ้งหนักการเร็ตจึงชิงพูดต่อ “ฮันนี่...เชื่อผมเถอะต่อให้คนตาบอดก็ยังมองออกว่าผมรักคุณ น้องๆของคุณรู้กันหมดแล้ว อีกไม่นานที่บ้านของคุณก็จะรู้”
“การ์เร็ต!” ฮันนี่ขึ้นเสียงกับชายหนุ่มเป็นครั้งแรก ตั้งแต่พูดคุยกันมา
“ฮันนี่!” เสียงเรียกนั้นมาจากวิกตอเรีย เด็กสาวลุกขึ้นยืนจ้องหน้าผู้ชายที่โอบกอดลูกพี่ลูกน้องของเธอด้วยสายตาเอาเรื่อง
“คุณไปเถอะ...” การ์เร็ตกระตุกยิ้ม ทว่าท่อนแขนแกร่งกลับเลื้อยโอบรอบเอวบาง รั้งฮันนี่เข้ามากอดแนบแน่น ไม่สนว่าพวกเขาอยู่ในสนามแข่งม้าที่มีคนดูอยู่เรือนหมื่น พร้อมกระซิบเบาๆที่หูบางของหญิงสาวในอ้อมแขน ตามด้วยการหอมแก้มนวลฟอดใหญ่ “แบบนี้คงเข้าใจผิดไม่ได้แล้วเนาะ”
“การ์เร็ต!”
“ฮันนี่!” วิกกี้ตัวสั่ง ก้าวพรวดๆมาดึงพี่สาวของเธอออกจากอกของศัตรูของที่เธอไม่เคยนึกชอบหน้า “ปล่อยพี่ฉันได้แล้ว ไอ้งี่เง่า!”
การ์เร็ตแกล้งเซถอยหลังแม้แรงผลักน้อยๆของเด็กสาวนั้นแทบจะไม่สะเทือนหนังหนาๆของเขา “หวงตอนที่หวงได้เถอะวิกกี้ อีกหน่อยก็หวงไม่ได้แล้ว” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์ แก้มนวลของฮันนี่จึงเห่อร้อนกับความหมายแฝงนัยของคำพูดชายหนุ่ม แต่เด็กสาวอีกคนกลับโกรธจนหน้าดำหน้าแดง
“ฝันไปเถอะว่าจะฉกฮันนี่ของฉันไปได้ ไม่มีวัน!”