ภูศิรดา
ซาบซึ้งตรึงใจ
ภูศิรดา
ซาบซึ้งตรึงใจ
ภูผา หนุ่มสถาปนิกเชื้อชาติไทยอเมริกัน ถูกมารดาทอดทิ้งตั้งแต่ย่างเข้าสู่วัยรุ่น กลายเป็นปมปัญหาคาใจมาตลอดหลายปี และเมื่อเขาได้พบกับนางอีกครั้งความจริงทุกอย่างถูกเปิดเผย เขายากจะทำใจยอมรับ ทว่าสายสัมพันธ์ก็โยงใยให้สองแม่ลูกได้มีโอกาสอยู่ร่วมกัน...แต่ก็เพียงชั่วระยะเวลาสั้น ๆ เขาต้องกลับมาโดดเดี่ยวอีกครั้ง เผชิญกับมรสุมชีวิตอันโหดร้ายที่ถาโถมเข้ามาจนแทบหมดกำลังจะหยัดยืน...ถ้าไม่เพราะ ‘ศิรดา’ หญิงสาวจิตใจงดงามที่เขาได้ช่วยชีวิตเธอไว้ด้วยความบังเอิญผ่านเข้ามาในชีวิต เธอกลายเป็นแสงสว่างเล็ก ๆ ในยามที่หัวใจของเขามืดมน และกลายเป็นคนสำคัญที่ทำให้เขาหยัดยืนขึ้นได้อีกครั้ง... ***** ศิรดาชักเริ่มหมดความอดทน จึงพูดประชดหวังให้เขามีพลังลุกขึ้นสู้ จะได้ผลหรือจะเสียผลก็ต้องลองสักครั้ง “ก็เพื่อตัวคุณไงคะ คุณภูผาที่ฉันเคยรู้จัก เขาไม่อ่อนแอเหมือนคุณ และที่สำคัญเขาห่วงใยคนอื่นเสมอ การที่คุณไม่ยอมลุกขึ้นมาสู้ ก็หมายความว่าคุณ ไม่เคยสนใจความรู้สึกของเพื่อนคุณเลย ไม่สนใจความรู้สึกของคนดูแลอย่างฉัน ที่กำลังพยายามจะช่วยคุณ แต่คุณกลับมองความห่วงใยของทุกคนเป็นเรื่องไร้สาระ คุณจะไม่ใจร้ายไปหน่อยเหรอคะ” “นี่คุณดุผมเหรอ” คนพูดทำหน้างง ๆ เพราะไม่คิดว่าหญิงสาวที่เคยอ่อนหวานเรียบร้อยมาตลอดจะมีสีหน้าโกรธขึ้งแบบนี้ก็เป็น “ค่ะ ฉันเบื่อที่จะปะเหราะเด็กโข่งอย่างคุณเต็มทีแล้ว” หญิงสาวกลั้นยิ้ม ก็บอกแล้วว่าต้องใช้ ‘เล่ห์กล’ กันบ้าง “งั้นคุณก็ปล่อยผมเถอะ อย่ามายุ่งกับผมเลย” น้ำเสียงหมดหวังอีกครั้ง ศิรดาอยากกระโดดบีบคอเขานัก ไม่ได้สิ ‘ผิดจรรยาบรรณ’ “เสียใจค่ะ ฉันรับปากกับคุณแม่คุณไว้แล้ว ว่าจะดูแลคุณ ฉันก็ต้องทำตามคำพูด” ชายหนุ่มมองหน้าหญิงสาวก่อนถอนใจแรงนิ่งไปนาน เหมือนช่างใจในที่สุดก็พยักหน้าเป็นเชิงยอมแพ้ เพราะ ‘แม่สั่ง’ อีกแล้ว ‘ในยามมืดมิดฟ้าหม่น ขอเพียงสักคนเคียงข้าง บรรเทาความเหงาอ้างว้าง ร่วมทางเคียงข้างนิรันดร’ พบกับเรื่องราวความรักอันแสนอบอุ่น โรแมนติก เศร้าซึ้ง กินใจ...แต่ลงท้ายด้วยรอยยิ้มและหัวใจที่อิ่มเอมระหว่าง ภูผา กับ ศิรดา พวกเขาพร้อมจะพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่า ‘รักแท้ มีอยู่จริง บนโลกใบนี้’
  • 8 ตอน
  • 3,057
นิยายโดย
  • 3 คนติดตาม
  • Tag
  • #
บทนำ

สถาปนิกหนุ่มหล่อเชื้อสายไทย อเมริกัน กำลังขับรถออกจากตัวเมืองใหญ่มุ่งหน้าเข้าสู่เขตต่างจังหวัด ระหว่างทางสังเกตว่าน้ำมันรถใกล้จะหมดเต็มทีจึงหันหัวรถเลี้ยวเข้าจอดปั๊มใหญ่ข้างทาง ขณะกำลังรอเติมน้ำมันอยู่นั้นพลันสายตาก็เหลือบไปเห็นหญิงสาวผู้หนึ่งเดินออกมาจากห้องน้ำด้วยท่าทางอิดโรย เธอเอามือกุมท้องและนั่งตัวงออยู่ที่ม้านั่งหน้ามินิมาร์ท ของปั๊ม ผู้คนผ่านไปมามองเธออย่างแปลกใจ แต่ไร้คนถามไถ่จริงจัง สักครู่เธอพยายามทรงตัวลุกขึ้นเดินเพื่อจะไปยังรถยนต์เล็กสีขาวที่จอดอยู่

ทันใดนั้นเองเธอก็ล้มฟุบลงไปกองกับพื้น มีเสียงคนเอะอะเข้าไปมุงดู ชายหนุ่มเติมน้ำมันเสร็จก็เคลื่อนรถออกหลีกทางให้รถคันอื่น ตั้งใจว่าจะขับออกไปเลย คิดว่าเดี๋ยวก็คงมีคนนำตัวเธอส่งโรงพยาบาล แต่เปล่าเลยเขาเห็นคนกลุ่มนั้นยังคงมุงดูเธออยู่โดยปราศจากการช่วยเหลือใด ๆ ชายหนุ่มตัดสินใจหยุดรถและเดินตรงไปยังร่างหญิงสาวที่นอนนิ่งอยู่ทันที

“หลีกทางหน่อยครับ” พูดพลางเบียดตัวเข้าไป

“มีใครพอจะช่วยอะไรเธอได้บ้างไหมครับ”

“ใครก็ไม่รู้ เป็นอะไรก็ไม่รู้ ใครจะกล้าช่วยล่ะ” คนพูดเป็นชายรูปร่างท้วมวัยกลางคน เขาหันมามองฝรั่งตัวโตด้วยท่าทางแปลกใจ

“เรียกตำรวจไหมคุณ” ผู้หญิงคนหนึ่งเอ่ยถาม

“เรียกรถพยาบาลดีกว่าไหม” อีกคนหนึ่งแย้ง “ใครมีเบอร์เรียกรถพยาบาลให้หน่อยสิ”

“ตังค์ในโทรศัพท์ฉันหมดพอดีเลย” เธอผู้นั้นปฏิเสธหน้าตาเฉย

ภูผาเห็นแต่ละคนมัวแต่เกี่ยงกันไปมา ถ้าไม่รีบช่วยเหลือหญิงสาวตรงหน้าเขาอาจเสียชีวิตก็เป็นได้

“ถ้างั้นทุกคนช่วยหลีกทางผมหน่อยนะครับ” ชายหนุ่มตรงเข้าไปอุ้มร่างบอบบางที่ไม่รู้สึกตัวนั้น พาไปนั่งที่ม้านั่งตัวเดิมพลางเขย่าตัวให้ฟื้นแต่คนป่วยยังหลับตานิ่ง

“แถวนี้พอจะมีโรงพยาบาลอยู่ใกล้ ๆ บ้างไหมครับ”

“ก็มีนะ ห่างจากนี่ไปหน่อยเดียว” เด็กปั๊มคนหนึ่งตอบ

ชายหนุ่มจัดแจงเก็บกระเป๋าและสัมภาระของเธอทั้งหมด เขาควานหากุญแจรถจากกระเป๋าของเธอ และจัดการกดล็อกรถพลางร้องสั่งเด็กปั๊มว่า

“ผมฝากรถของผู้หญิงคนนี้หน่อย เดี๋ยวผมจะพาเธอไปส่งโรงพยาบาล” ชายหนุ่มอุ้มร่างที่ยังไม่ได้สตินั้นไปขึ้นรถและขับตรงไปยังโรงพยาบาลที่ว่าทันที

“นี่แก ผู้ชายคนนั้นจะพาผู้หญิงนั่นไปส่งโรงพยาบาลจริงรึเปล่าวะ” พนักงานขายของในร้านมินิมาร์ทถามเด็กปั๊ม

“ไม่รู้โว้ย ก็คงจะจริงมั้ง อยากรู้แกก็ลองถามตอนเขากลับมาเอารถสิ”

“ต๊าย! แกไม่น่าเชื่อนะว่าจะยังมีอัศวินขี่ม้าขาวสุดหล่ออยู่บนโลกใบนี้จริง ๆ” หญิงสาวอีกคนทำตาชวนฝัน

“นับว่าผู้หญิงคนนั้นยังโชคดี…เฮ้ย! แล้วถ้าผู้ชายคนนั้นพาผู้หญิงไปทำอะไรมิดีมิร้ายจะทำยังไงวะแก” เด็กปั๊มผู้ชายเอ่ยขึ้นสีหน้าตกใจกับการจินตนาการของตัวเอง

“คงไม่หรอกมั้ง ท่าทางเขาออกจะดูเป็นคนดี แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ก็เป็นโชคร้ายของผู้หญิงคนนั้นเอง” หญิงสาวในร้านมินิมาร์ทยักไหล่ แล้วหันกลับเข้าร้านไป ทุกคนต่างก็แยกย้ายไปประจำหน้าที่ของตัวเองเช่นเดิม


ชายหนุ่มคอยชำเลืองมองหญิงสาวที่ยังไม่ได้สติ สีหน้าซีดเผือด เนื้อตัวเย็นชืดเขาสัมผัสได้จากตอนที่อุ้มเธอมาขึ้นรถ นี่เธอป่วยเป็นอะไร จะถึงกับเสียชีวิตไหมหนอยิ่งคิดยิ่งร้อนใจ เขาขับรถเลี้ยวเข้าโรงพยาบาลตรงไปแผนกฉุกเฉินทันที บุรุษพยาบาลเข็นเตียงเคลื่อนที่นำร่างของเธอเข้าห้องฉุกเฉินไปพร้อมกับนางพยาบาลสองคน


เขาตัดสินใจจอดรถไว้ที่โรงพยาบาลและจ้างวินมอเตอร์ไซด์ ให้ขับพาเขาไปส่งที่ปั๊มเพื่อนำรถของหญิงสาวมาจอดที่โรงพยาบาลเพราะจะปลอดภัยกว่า อีกอย่างถ้าเธอฟื้นขึ้นมาก็จะได้ไม่ต้องเป็นห่วงรถ เขาจำเป็นต้องรีบไปทำธุระต่อเสียด้วย แต่อีกใจก็อดนึกเป็นห่วงหญิงสาวไม่ได้ ผู้หญิงตัวคนเดียวแบบนี้คงรู้สึกเคว้งคว้างน่าดูเมื่อฟื้นขึ้นมาแล้วพบตัวเองนอนอยู่โรงพยาบาลเพียงลำพัง ชายหนุ่มตัดสินใจค้นหาโทรศัพท์ของเธอและหวังจะโทรหาเบอร์ใครสักคนในเครื่อง ก็พอดีเห็นสายที่โทรเข้ามาแล้วไม่ได้รับ

“ โชคดีไม่มีรหัสล็อกหน้าจอ...งั้นโทรหาคนนี้คงได้เรื่อง” ชายหนุ่มพึมพำแตะเบอร์โทรศัพท์ตรงชื่อ ‘ยัยนิ’ เสียงปลายสายต่อว่าทันที

“นี่หล่อน เมื่อไรจะมารับฉันซะทียะ รอจนเหงือกแห้งแล้ว โทรไปก็ไม่รับ”

“เอ่อ...คือ ตอนนี้เจ้าของโทรศัพท์ไม่สบาย อยู่ที่โรงพยาบาลนะครับ”

“อะไรนะ แล้วคุณเป็นใคร ทำไมเอาเบอร์เพื่อนฉันโทรมาได้ แล้วเพื่อนฉันอยู่ที่ไหน” ปลายสายรัวถามเป็นชุด

“ใจเย็น ๆ ก่อนคุณ ผมเป็นคนพาเธอมาส่งโรงพยาบาล แล้วกำลังคิดว่าจะติดต่อญาติเธอยังไงดี ก็บังเอิญเห็นเบอร์ของคุณโทรเข้ามา ผมก็เลยโทรหาคุณนี่แหละ” ชายหนุ่มบอกชื่อโรงพยาบาลแก่ปลายสาย หล่อนขอร้องให้เขาเฝ้าคนป่วยอยู่ก่อน เพราะต้องใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมงกว่าจะถึงโรงพยาบาล

เขาจำใจนั่งรออย่างกระวนกระวาย เหตุเพราะเขาต้องรีบไปทำธุระต่อ แต่จะทิ้งเธอไว้ก็กระไรอยู่ ยอมผิดนัด คงยังดีกว่าทิ้งคนป่วยไว้ตามลำพัง

“ใครเป็นญาติคนป่วยคะ” นางพยาบาลคนหนึ่งโผล่หน้ามาจากประตูห้องฉุกเฉิน

“เอ่อ...ผมเองครับ แต่ผมไม่ใช่ญาติ ผมเป็นคนพาเธอมาส่งเฉย ๆ ครับ”

“ตอนนี้คนป่วยอาการดีขึ้นแล้วนะคะ แต่ยังอ่อนเพลียมาก เธอช็อกเนื่องจากร่างกายขาดน้ำอย่างรุนแรงและกะทันหัน ต้องนอนโรงพยาบาลดูอาการก่อน ไม่ทราบว่าคุณ พอจะติดต่อญาติคนป่วยได้หรือเปล่าคะ” นางพยาบาลสบตาเขารอฟังคำตอบ

“ผมติดต่อเพื่อนของเธอให้แล้วครับ เดี๋ยวคงมาถึง ผมฝากเธอด้วยนะครับ ผมต้องรีบไปทำธุระ”

“เดี๋ยวก่อนค่ะคุณ ไม่ทราบคุณชื่ออะไรคะ แล้วคุณจะไม่เข้าไปเยี่ยมคนไข้หน่อยเหรอคะ”

“ไม่ดีกว่าครับ ให้เธอพักผ่อนเถอะ ช่วยบอกคนไข้ด้วยนะครับว่า ผมติดต่อเพื่อนเธอให้แล้ว รอสักครู่ ผมต้องรีบไปทำธุระก่อน ฝากคุณพยาบาลด้วยนะครับ” ชายหนุ่มไปจัดการเรื่องห้องให้หญิงสาว แล้วฝากกระเป๋าไว้กับนางพยาบาลให้นำไปให้เธอด้วย เขาต้องรีบไปทำธุระจริง ๆ อีกอย่างเพื่อนของเธอคงใกล้มาถึงแล้ว

“เดี๋ยวก่อนค่ะคุณ ไม่ทราบคุณชื่ออะไรคะ เผื่อคนไข้ถามดิฉันจะได้บอกเธอได้”

“ไม่จำเป็นหรอกครับ เพราะผมกับเธอคงไม่มีโอกาสได้เจอกันอีกแล้ว ผมไปก่อนนะครับ” ชายหนุ่มก้มศีรษะ

น้อย ๆ เป็นเชิงขอตัว นางพยาบาลสาวมองตามร่างสูงสง่านั้นไป

“แล้วถ้าคนไข้ถามจะบอกคนไข้ว่ายังไงดี คนดีแบบนี้หายากจริง ๆ” พยาบาลสาวสองคนคุยกันอย่างชื่นชม

“ดูท่าทางเขารีบร้อน คงไม่ใช่คนร้ายรีบหนีตำรวจหรอกใช่ไหม”

“ไม่หรอกมั้ง เขาบอกว่ามีธุระ ถ้าเป็นคนร้ายจริงคงเตลิดหนีไปนานแล้ว ไม่รออยู่เป็นนานสองนานหรอก”

ชายหนุ่มเดินออกมาจากตึกผู้ป่วยอย่างรีบร้อนไม่ทันได้ระวังจึงชนกับหญิงสาวคนหนึ่งเข้าอย่างจัง เธอเซจนเกือบล้มโชคดีที่เขามือไวคว้าตัวเธอไว้ทัน

“ขอโทษครับ ผมรีบเลยไม่ทันได้มอง คุณเป็นอะไรมากรึเปล่าครับ” เขาถามสีหน้าดูเป็นกังวล

“ไม่เป็นไรค่ะ” หญิงสาวแปลกใจคิดว่าเป็นหนุ่มต่างชาติพูดไทยไม่ได้เสียอีกแต่กลับส่งสำเนียงไทยชัดเจน

“ถ้าอย่างงั้น ผมขอตัวก่อนนะครับ” ชายหนุ่มรีบร้อนเดินจากไป หญิงสาวมองตามร่างสูงมาดแมนนั้นไปอย่างประทับใจ สีหน้าเคลิบเคลิ้ม

“ผู้ชายอะไร หล่อแล้วยังสุภาพอีก” หญิงสาวทำตาหวานซึ้งชวนฝัน

กณิกาเข้าไปติดต่อห้องประชาสัมพันธ์เพื่อสอบถามอาการและห้องพักของเพื่อน รวมไปถึงพลเมืองดีคนที่ช่วยเหลือเพื่อนเธอ

“เอ่อ...ดิฉันถามชื่อแต่ว่าเขาไม่ยอมบอกค่ะ รู้แต่ว่าน่าจะเป็นลูกครึ่ง ตัวสูง ๆ ขาว ๆ เพิ่งเดินออกไปเมื่อสักครู่นี่เองค่ะ ว่าแต่คุณไม่สวนทางกันเหรอคะ” นางพยาบาลเอ่ยถาม แววตาสงสัย

“ลูกครึ่ง ตัวสูง ๆ ขาว ๆ” กณิกาทบทวนความทรงจำสีหน้าระลึกได้ “สงสัยเป็นคนที่เดินชนกับฉันเมื่อครู่นี้แน่เลยค่ะ คนที่ใส่เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีฟ้าอ่อนใช่ไหมคะ”

“ใช่ค่ะ” พยาบาลตอบสีหน้ายิ้มแย้ม

“แล้วเขาได้บอกชื่อไว้ไหมคะหรือเบอร์โทรศัพท์ก็ได้ฉันจะโทรไปขอบคุณเขาเสียหน่อย”

“ไม่มีเลยค่ะ เราถามแล้วแต่เขาไม่ยอมบอกค่ะ บอกแต่ว่าคงไม่มีโอกาสเจอกันอีกแล้ว”

“ถ้างั้นขอบคุณนะคะ” กณิกากล่าวขอบคุณ ในใจก็นึกเสียดายที่ไม่สามารถรู้รายละเอียดของพลเมืองดีคนนั้นได้