ภพชาติผูกพันธ์ รักมั่นนิรันดร์
แรงชัดจัดเต็ม
ภพชาติผูกพันธ์ รักมั่นนิรันดร์
แรงชัดจัดเต็ม
หนึ่งแรงปรารถนา หนึ่งดวงวิญญาณ ความอาฆาตแค้น หนึ่งดวงวิญญาณ ที่ต้องทนทุกข์ทรมาน เมื่อยามยังมีชีวิตอยู่ โชคชะตาทำให้ชีวิตในสองภพสองชาติของนาง ต้องมีจุดจบอย่างอนาถ เหตุใดสวรรค์จึงไม่มีตา! ชั่วชีวิตนางมิได้ก่อกรรมทำเข็ญต่อผู้ใด หนึ่งภพชาติ นางถูกบุพการีทรมานจนตาย อีกหนึ่งภพชาตินางถูก ความรัก ความเพ้อฝันอันโง่งม เป็นหมากให้ผู้อื่นจับวางและ กำจัดทิ้งได้อย่างง่ายดาย!
  • 0 ตอน
  • 0
นิยายโดย
  • 8 คนติดตาม
บทนำ

ความรัก ความผูกพัน

นำคนสองคนมาพบกัน

หนึ่งวิญญาณมีชีวิตอยู่สองภพ สองชาติ

เพราะโชคชะตาที่ไร้เหตุผล

ด้ายแดงแห่งบุพเพสันนิวาสไม่เคยผูกวาสนาของชายหญิงผิดคู่

เมื่อพลัดพรากกันมาแล้วในหนึ่งภพชาติ

โอกาสที่ได้มาช่างมีค่านัก

เพียงแต่ตัวนางนั้นจะเลือกก้าวเดินไปหนทางใด

หนึ่งแรงปรารถนา
หนึ่งดวงวิญญาณ
ความอาฆาตแค้น
หนึ่งดวงวิญญาณ ที่ต้องทนทุกข์ทรมาน เมื่อยามยังมีชีวิตอยู่

โชคชะตาทำให้ชีวิตในสองภพสองชาติของนาง ต้องมีจุดจบอย่างอนาถ
เหตุใดสวรรค์จึงไม่มีตา!

ชั่วชีวิตนางมิได้ก่อกรรมทำเข็ญต่อผู้ใด

หนึ่งภพชาติ นางถูกบุพการีทรมานจนตาย

อีกหนึ่งภพชาตินางถูก ความรัก ความเพ้อฝันอันโง่งม

เป็นหมากให้ผู้อื่นจับวางและ กำจัดทิ้งได้อย่างง่ายดาย!

--------------

กาลเวลาผันแปรสายลมย่อมมิอาจพัดหวนตามครรลองเดิม วันนี้ย่อมมิอาจเป็นดังเช่นวันวาน ความรักที่เขามอบให้นางในชีวิตใหม่นี้จะเพียงพอที่จะให้นางปล่อยวางความแค้นลงได้หรือไม่

"เจ้าตัวน้อยเหตุใดจึงร้องไห้บอกพี่ซีของเจ้าสิข้าจะไปจัดการมันให้" เขาเพ่งพิศดวงหน้าเล็ก

จ้อยที่ขาวซีด เจ้าตัวแสบที่เขาหมายมาดว่าจะต้องแกล้งเอาไปปล่อยทิ้งไว้ในวังสักวันสองวันให้หาย

มันเขี้ยว แต่เวลานี้กลับสิ้นฤทธิ์นอนร้องไห้เพราะพิษไข้ เขาจะต้องทำเช่นไรเล่าในเมื่อหมอก็พากัน

ส่ายหัวถ้าเขาจะสั่งให้เอาชีวิตเกรงว่าจะเปล่าประโยชน์เสียมากกว่า

"ไม่...ไม่เป็น...ไม่เอา" เสียงเพ้อดังมาจากเจ้าตัวน้อยที่นอนน้ำตาไหลพรากไม่ได้สติ

"ไม่เอาอะไรบอกข้ามาเหมยเอ๋อ"

"ไม่...ไม่เป็น...ไม่เป็น"

"..." เขานิ่งเงียบรอฟัง

"ไม่เป็น...สนม"

"...!"

"จะ...ไป...บวชชี" แล้วเขาก็เห็นดวงตาเรียวเล็กดำขลับลืมตาขึ้นมามองเขาอย่างต้องการคำตอบ

"ได้ๆ...ข้าจะไม่ให้เจ้าเป็นสนมไม่มีวันเลยข้าสาบาน!"

"ฮ่องเต้...ตรัสแล้วไม่คืนคำ" นางมารน้อยผู้ไม่ยอมเสียเปรียบ!

"ถ้าข้าคืนคำก็ไม่ขอเป็นฮ่องเต้อีกต่อไป"

"...ฟี้...!" นางมารน้อยหลับไปแล้ว! เขาหันไปสบตาท่านปู่ของนางก็ได้รับสายตาบ่งบอกว่าจนปัญญา นี่หรือสาเหตุที่เขาต้องตื่นขึ้นมากลางดึก

ฮึ่ม!ได้..ในเมื่อนางมารน้อยไม่อยากเป็นสนมของข้างั้นก็...

เป็น...

ฮองเฮา...ก็แล้วกันนี่คงไม่ผิดกระมัง หึหึ

_______


บทนำ

หนึ่งภพชาติที่ต้องทนทุกข์ทรมาน


หญิงสาวผู้ที่แสนจะธรรมดาสามัญ ไม่มีความสามารถอะไร ไม่ได้เป็นหมอ ไม่เป็นการต่อสู้...ในโลกที่เทคโนโลยีก้าวล้ำเราส่งคนขึ้นไปดวงจันทร์ส่งหุ่นยนต์ไปดาวอังคาร โลกของการแข่งขันแต่ทว่าตัวเธอ 'อู่เหมย' ดอกเหมยสีแดงที่ดูเหมือนจะสูงส่งควรค่าแก่การทะนุถนอมประคองไว้กลางฝ่ามืออย่างอ่อนโยน ความคิดนี้ของเธอช่างไร้เดียงสายิ่ง เธอปรารถนาเพียงความรักจากครอบครัวการเอาใจใส่ความห่วงใย แต่ความเป็นจริงโลกนี้ไม่ได้มีซินเดอเรลร่าที่นางเอกถูกแม่เลี้ยงข่มเหงรังแกทำงานสารพัดสิ่งอย่างแล้วตอนจบก็ได้แต่งงานกับเจ้าชายผู้สูงศักดิ์

อู่เหมย ชื่อที่ประชากรหญิงมากกว่าสิบล้านของจีนใช้ช่างธรรมดาสามัญ หญิงสาวเกิดในครอบครัวหมอพ่อกับแม่ของเธอเป็นศัลยแพทย์เธอเกิดมาในครอบครัวที่ผู้คนต่างอิจฉา แต่ใครไหนเลยจะล่วงรู้ถึงความเป็นจริงของครอบครัวที่สมบูรณ์พูนพร้อมพ่อกับแม่ของเธอมีความสงสัยว่าร่างกายของมนุษย์นั้นจะทนทานความเจ็บปวดจากการถูกกรีดเฉือนโดยที่ไม่ใช้ยาชาหรือยาสลบได้มากน้อยเพียงใด ความคิดนี้นั้นถูกมองว่าเป็นการทารุนจากโลกภายนอก แต่พวกท่านกลับมองว่ามันเป็นการทดลองที่ลึกล้ำเหมาะแก่การศึกษาเป็นอย่างยิ่ง

อู่เหมยเฝ้าคิดว่าตนนั้นช่างโชคดียิ่ง ที่ได้เกิดมาในประเทศที่จำกัดจำนวนประชากร หนึ่งครอบครัวนั้นสามารถมีบุตรสืบสกุลได้เพียงหนึ่งคนเท่านั้น ความสำคัญของบุตรชายเป็นจารีตที่สืบต่อกันมายาวนานนับพันปีและมันก็ยังคงเหลืออยู่ และฝังแน่นไปในสายเลือดและจิตวิญญาณ เธอจึงคิดว่าตนนั้นโชคดีที่ได้เกิดมาทั้งที่เป็นสตรีเพศ เพศที่เป็นพลเมืองชั้นสองของสังคมนี้ เพศที่ถูกมองว่ามีค่าแค่การให้กำเนิดเท่านั้น จนกระทั่ง...

วันที่เธอถูกพาไปที่ห้องใต้ดินของบ้านตอนอายุ 10 ขวบ เธอที่ไร้เดียงสา เธอที่รักบิดามารดาเห็นท่านเป็นฮีโร่ที่ช่วยเหลือชีวิตของผู้คน วันนั้นแม่ของเธอคุกเข่าลงต่อหน้าเธอสวมกอดเธอไว้แล้วกระซิบเบาๆที่ข้างหูว่า

"อาเหมยลูกอยากจะช่วยไม่ให้ผู้คนต้องเจ็บปวดไหมลูก" เด็กน้อยตอบมารดาว่า

"อยากค่า...โตขึ้นหนูจะเป็นหมอเหมือนกับหม่าม้า"

เด็กน้อยยังไม่เข้าใจว่าเธอจะสามารถช่วยผู้คนได้อย่างไรในตอนนี้คุณครูที่โรงเรียนบอกว่าจะต้องรอให้เธอโตและเรียนหมอก่อนเธอถึงจะสามรถช่วยผู้คนได้

"ถ้าอย่างนั้นดอกเหมยน้อยของหม่าม้าขึ้นไปนอนบนเตียงนั่นนะลูก"

เด็กน้อยมองหม่าม้าของเธออย่างสงสัย แต่ก็เดินขึ้นไปนอนบนเตียงอย่างว่าง่าย และนับตั้งแต่วินาทีนั้น เตียงหลังนั้นที่เธอได้มารู้ภายหลังจากนั้นมันคือเตียงผ่าตัด เตียงที่เอาไว้ใช้ช่วยชีวิตผู้ที่เจ็บป่วย แต่มันคือเตียงนอนของเธอ ห้องนั้นก็คือบ้านสี่เหลี่ยมของเธอ ชีวิตที่เหลือก่อนที่เธอจะสิ้นลมหายใจเธออาศัยอยู่ในนั้นเป็นเวลากว่า 10 ปี ทุกวันเธอจะได้รับการผ่าตัดที่สุดแสนพิเศษที่ป๊ากับม้าของเธอบรรยายให้เธอฟังว่ามันทรงคุณค่ามากเพียงใด ทุกเส้นสายที่มีดผ่าตัดนั้นกรีดผ่านบ่งบอกถึงความวิปริตไร้ซึ่งความเป็นมนุษย์ซึ่งพึงกระทำต่อมนุษย์ด้วยกันเอง แรกๆคุณจบพบว่ามันไรซึ่งความเจ็บเพราะการใช้ยาชาที่เหมาะสำหรับรอบกรีดเล็กๆแต่การเฝ้ามองเนื้อหนังของตัวเองถูกกรีดออกทีละชั้นทีละชั้นมันชวนให้สะอิดสะเอียนหวาดผวาอย่างสุดขีดเธอพยายยามดิ้นรนร้องขอความเมตตาจากบิดามารดา ขอว่าเธอกลัว เลือดเธอออก แต่เธอกับได้รับเพียงรอยยิ้มอ่อนๆจากหม่าม้าที่เฝ้าปลุกปลอบว่าเธอจะไม่เป็นอะไร และได้รับสายตาอ่อนโยนจากปะป๊าที่บอกกับเธอว่าเธอจะไม่เจ็บปวดสิ่งที่ป๊ากับม๊าทำกับเธอมันจะสามารถช่วยผู้คนได้มากมาย

แต่ทว่า มันจะจริงหรือ? คำตอบที่เธอได้รับในเวลาต่อมาก็คือความเจ็บปวดที่ทุกข์ทรมานแสนสาหัส ทุกวันที่ปริมาณยาชาและยาแก้ปวดที่ลดน้อยลงเรื่อยๆ ชั่วขณะที่ความเจ็บปวดคลืบคลานเข้ามา นับจากปลายมีดที่กรีดลงบนผิวเนื้อบอบบางหากใครสักคนนึกถึงคำกล่าวที่ว่า เจ็บจนชินชา มันอาจจะเป็นคำที่หลายคนเคยประสบพบเจอ แต่สำหรับเธออู่เหมยคำประโยคนี้หาใช้ได้กับสภาพของเธอ ณ เวลานั้นได้ ความเจ็บปวดสำหรับฉันมันมีแต่จะเพิ่มพูนมากยิ่งขึ้นไปวันแล้ววันเล่า คุณอาจจะคิดว่าทำไมเมื่อเธอได้รับความทุกข์ทรมานเพียงนั้นเหตุใดเธอไม่จบชีวิตของตัวเองลงเสีย

มีคำกล่าวไว้ คนบางคนปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่แต่เหตุใดชีวิตเขาจึงสั้นเหลือเกิน แต่กับคนบางคนตลอดเวลาที่หายใจเขาปรารถนาที่จะให้ลมหายใจที่ปล่อยออกมาเป็นลมหายใจสุดท้ายของเขา ด้วยวิวัฒนาการทางการแพทย์ที่ก้าวล้ำ ยาที่ทันสมัยทำให้เธอไม่อาจตายได้เธอกล้ำกลืนฝืนทนความเจ็บปวดที่ได้รับมาเป็นเวลายาวนานจนเธอนั้นได้กลายเป็นตุ๊กตามนุษย์ที่ไร้จิตใจ อาจจะเรียกได้ว่าเป็นร่างที่ไร้วิญญาณและต้องการการปลดปล่อยให้ได้พบเจอกับเส้นทางที่สงบสุข เดินทางไปยังแม่น้ำลืมเลือนแห่งปรโลกดื่มน้ำแกงของคุณยายเมิ่ง เพื่อที่เธอจะได้ลืมเรื่องราวในชาตินี้ เรื่องราวที่เธอเฝ้าถามตนเองว่าเธอได้ก่อกรรมทำเข็ญอะไรให้ผู้คนต้องเจ็บปวดทุกข์ทรมานถึงเพียงไหนหรือ ชาตินี้เธอถึงต้องชดใช้กรรมมากมายถึงเพียงนี้เหตุใดสวรรค์ช่างโหดร้ายทำกับเธอได้มากถึงเพียงนี้

วันนั้นเป็นวันที่พวกเขาทั้งสองคนกำลังบรรจงกรีดมีดลงบนร่างกายของเธออย่างประณีตแผลนี้เป็นแผลที่หกสิบแล้วกระมัง จากที่เธอนอนกัดฟันทนความเจ็บปวดพวกเขาก็ส่งเสียงบอกจำนวนบาดแผลที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆให้เธอได้รับรู้ สายตาเธอเหม่อมองไปยังเสาที่ห้อยถุงน้ำเกลือถุงเลือด พวกเขาให้ยาที่ทำให้หัวใจของเธอไม่ล้มเหลวขณะที่กำลังทำการทดลองนี้ พวกเขาชมว่าเธอเก่ง เก่ง?ที่สามรถทนได้ยาวนานมาถึงสิบปีอย่างนั้นหรือ ชั่วขณะนั้นที่เธอได้รับรู้ว่าร่างกายของเธอจะทานทนพิษของความเจ็บปวดนี้ไม่ไหว เธอก็ได้ยินเสียงดังโครมที่สั่นสะเทือน พวกเขาสองคนร้องโวยวาย จากสติอันพร่าเลือนผู้คนจำนวนมากกรูกันเข้ามาภายในห้องใต้ดินนี้ ในใจของเธอคิดว่าใครหรือที่มา?

อู่เหมยมองเห็นชายหญิงสองคนที่เธอเคยนับพวกเขาเป็นบิดามารดาถูกรวบตัวโดยชายรูปร่างบึกบึนสองคน เธอคิดว่าพวกเขาน่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจพวกเขามาช่วยเธอแล้วหรือ เธอรู้สึกทั้งแค้นทั้งขอบคุณที่พวกเขามาได้เสียทีคำภาวะนาตลอดหลายปีที่ผ่านมาของเธอเป็นจริงแล้ว อย่างน้อยช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตเธอก็ไม่ได้เจ็บปวดจนเกินไป ผู้คนเดินเข้ามายังเตียงของเธอ เสียงอุทานด้วยความตกใจของพวกเขา เสียงร้องเรียกปลุกว่าเธอยังรู้สึกตัวอยู่หรือไม่ ลมหายใจของเธอแผ่วเบาลงทุกทีเธอกำลังจะได้รับความสุขสงบแล้วสินะ

ขณะที่ลมหายใจสุดท้ายมาถึงหูเธอแว่วเสียง เสียงหนึ่งกระซิบที่ข้างหูน้ำเสียงนุ่มทุ้มฟังคล้ายมีความอ่อนโยนและดุดันคละเคล้า มันเป็นเสียงที่ทำให้เธอรู้สึกถึงความคุ้นเคยราวกับว่าเธอเคยได้พังเสียงกระซิบเบาๆนี้นับพันนับหมื่นครั้ง ทำให้เธอรู้สึกถึงความอบอุ่นที่ไม่เคยได้พบเจอมาก่อนในชีวิตบนเตียงผ่าตัดหลังนี้ ริมฝีปากที่เต็มไปด้วยบาดแผลจาการขบกัดเพื่อคลายความเจ็บของเธอยกขึ้นเป็นรอยยิ้มสายหนึ่งที่ตอบรับคำกระซิบเรียกขานนั้น

"เหมยเอ๋อยอดรัก..."