บทที่ 1 – อุ้มบุญ
อาคารเบื้องหน้าดูเผินๆ คล้ายบ้านหรูทั่วไป แต่แท้จริงเป็นคลินิกผู้มีบุตรยากซึ่งเจ้าของเป็นนายแพทย์หนุ่มชื่อดังขนาดที่มีมหาเศรษฐีและดาราคนดังจากทั่วโลกมาใช้บริการ
รถของธาริณีกับกิตติศักดิ์จอดเทียบด้านหน้า สามีภรรยามองหน้าแล้วยิ้มให้กำลังใจกันก่อนจะเดินเข้าไปในห้องรับรองและถูกนำเข้าไปในห้องๆ หนึ่งที่ตกตกให้ดูอบอุ่นสบายตาเหมือนอยู่ในห้องนั่งเล่น ทั้งสองนั่งคู่กันบนโซฟา ใจเต้นระทึก แม้จะเคยมาที่นี่หลายครั้งนี้ แต่ครั้งนี้แตกต่างออกไปเพราะเป็นครั้งแรกที่จะได้สัมภาษณ์หญิงสาวโสดและไม่โสดหลายคนที่มารับจ้างอุ้มบุญ
ที่จริงแล้วทั้งสองยังหนุ่มสาวและแข็งแรงดี ธาริณีอายุ 32 ส่วนกิตติศักดิ์ 36 แต่พยายามมาแล้วห้าปีก็ไม่มีทีท่าว่าจะตั้งท้อง หมอวิเคราะห์ว่าอาจเป็นเพราะความเครียดจากการทำงานและเวลาที่แตกต่างกัน ฝ่ายหญิงเป็นผู้ช่วยผู้บริหารระดับซีอีโอกลุ่มบริษัทท็อปไฟว์ของประเทศซึ่งทุ่มเทกายใจให้การทำงานเกินร้อย ความวิตกกังวลรวมทั้งเวลาทำงานจึงเกินร้อยไปด้วย ส่วนฝ่ายชายเป็นนักบินสายการบินใหญ่ เวลาที่จะอยู่ในประเทศตรงกับเวลาว่างของภรรยาจึงมีน้อยเช่นกัน เมื่อถูกกดดันด้วยความคาดหมายจากพ่อแม่ญาติพี่น้องทั้งสองครอบครัวที่รอคอยอยากอุ้มหลานมาหลายปี ทั้งสองจึงตัดสินใจใช้วิทยาศาสตร์การแพทย์เข้าช่วย และทุกอย่างก็ดำเนินมาด้วยดีจนถึงขั้นตอนการสรรหาบุคคลที่เหมาะสมมาอุ้มบุญ
เวลาผ่านไปค่อนวันกับการสัมภาษณ์อย่างละเอียดสามคน แต่ก็ยังไม่มีคนไหนถูกใจ จนกระทั่งคนที่สี่ก้าวเข้ามาแล้วทำให้สองสามีภรรยาประทับใจตั้งแต่แรกเห็น
ทางคลินิกจัดแฟ้มประวัติมาให้ศึกษาก่อนการสัมภาษณ์ รูปที่ติดไว้ดูเป็นหญิงสาวสวยงามน่ารัก แต่ยังห่างไกลจากความเป็นจริง เพราะภาพถ่ายไม่อาจสะท้อนผิวที่งดงามผุดผาด ประกายวิบวับในดวงตากลมโต สีแดงระเรื่อของพวงแก้มและริมฝีปาก ฟันขาวเรียบ รวมทั้งเส้นผมสีน้ำตาลอมทองที่เรียกว่าสีน้ำผึ้ง เรือนร่างภายใต้กระโปรงยีนส์และเสื้อเชิ้ตแขนกุดสีพีชแบบเรียบง่ายดูสมส่วน มีส่วนเว้าส่วนโค้งเต็มตึง กิริยาวาจายามยอบตัวลงไหว้อ่อนช้อย น้ำเสียงตอนแนะนำตัวก็หวานใสจับใจ
“หนูชื่อมาริลิน เรียกหนูสั้นๆ ว่าลินก็ได้คะ หนูอายุ 19 ย่าง 20 เป็นกำพร้า พ่อตายไปนานแล้ว แต่แม่เพิ่งเสียไปเมื่อปีก่อน ไม่มีญาติพี่น้องที่ไหน เลยต้องทำงานหาเงินส่งตัวเองเรียนหนังสือกับใช้หนี้นอกระบบที่แม่กู้มารักษาตัว แต่พอทำงานมากเข้า บางครั้งก็ตามเพื่อนไม่ทัน เลยคิดว่าจะพักการเรียนสักปีหนึ่ง หาเงินใช้หนี้ให้หมดกับเก็บบางส่วนไว้เป็นค่าเล่าเรียนกับค่าใช้จ่ายจนกว่าจะเรียนจบ พอได้ยินข่าวว่ามีคนต้องการคนมาอุ้มบุญหนูก็รีบมาสมัครเลยค่ะ”
ได้ฟังเพียงแค่นี้ธาริณีก็ใจอ่อนยวบด้วยความสงสาร แทบจะตอบตกลงจ้างทันที หล่อนหันไปยิ้มและสบตาบอกความพึงพอใจของสามี
ทั้งสองยังถามชีวิตความเป็นอยู่ของมาริลีนอีกสองสามประโยค ก่อนจะบอกเป็นนัยว่าจะแจ้งผลการสัมภาษณ์ซึ่งน่าจะเป็นข่าวดีผ่านฝ่ายจัดการของคลินิก หญิงสาวยิ้มหวาน กล่าวขอบคุณพร้อมกับยกมือไหว้ลา แต่พอเดินไปถึงประตู ก็มีเสียงถามตามมาในนาทีสุดท้าย
“ลืมถามไปว่าน้องมีแฟนหรือยัง ถ้ามีแล้วต้องมาตั้งท้องให้คนอื่น เขาจะไม่ว่าเอาหรือ”
มาริลินหน้าแดงซ่าน หลบตาคนสัมภาษณ์ มือพันกัน ตอบเสียงสั่นอย่างขวยเขิน “หนูต้องทำงานหาเงินส่งตัวเอง ถึงจะมีคนมาจีบ หนูก็ไม่มีเวลาให้เรื่องพวกนั้นหรอกค่ะ”
หล่อนช้อนตาวาวหวานขึ้นสบกับตาคมกล้าของกิตติศักดิ์เพียงแวบเดียวเหมือนไม่ได้ตั้งใจ แต่แค่นั้นก็ทำเอาคนมองหัวใจสะท้าน ซาบซ่านไปทั้งตัว
“ณีชอบมาริลิน รู้สึกถูกชะตาอย่างไรไม่รู้ พี่ศักดิ์ว่ายังไงคะ” มัวแต่มองตามมาริลิน ปลาบปลื้มดีใจที่ได้พบคนที่เหมาะสมจะอุ้มท้องลูกให้หล่อน ธาริณีไม่รู้เลยว่าคนข้างตัวก็มองตามเช่นกัน แต่ด้วยแววตาหวานเยิ้มเคลิ้มฝันราวต้องมนต์สะกด
“พี่ก็ว่ายังงั้น” กิตติศักดิ์ตอบเพียงสั้นๆ ไม่กล้าพูดมากกลัวเสียงสั่นบ่งบอกถึงหัวใจที่ไหวหวั่น เพราะแม้สาวน้อยจะออกไปจากห้องแล้ว แต่รอยยิ้มพิมพ์ใจ เสียงใสๆ ผิวขาวผ่อง และส่วนสัดรัดรึงยังตราตรึงในความทรงจำ