ดอกไม้ในกาลเวลา
รักโรแมนติก
ดอกไม้ในกาลเวลา
รักโรแมนติก
Mtbooks
ชายหนุ่มผู้ยอมรับผิดกับสิ่งที่ตัวเองไม่ได้ก่อ ทำให้สูญเสียคนรักที่คบกันมาตั้งแต่เรียนมัธยมอย่างไม่ทันตั้งตัว เขาต้องยอมจำนนกับชีวิตที่มีแต่ความทุกข์ใจจนกระทั่งได้พบเธอ อีกครั้ง “เรายังเป็นเพื่อนกันอยู่ใช่ไหม” “ทำไมถามแบบนั้น” “เรารู้สึกอึดอัด คือเราวางตัวไม่ถูก” “แล้วผมต้องทำยังไงคุณถึงจะไม่อึดอัด”
  • 0 ตอน
  • 0
นิยายโดย
  • 0 คนติดตาม
บทนำ

รวิกานต์ผลักบานประตูกระจกใสเข้าสู่ฟร้อนท์หน้าของโรงแรม อากาศภายในที่เย็นฉ่ำช่วยให้เธอรู้สึกผ่อนคลาย หลังจากเหน็ดเหนื่อยกับการเดินทางท่ามกลางอากาศร้อนอบอ้าวมาครึ่งค่อนวัน

วันนี้เธอนัดกับทนายจุลพงศ์ รุ่นพี่ที่คอยช่วยเหลือดูแลเธอทุกอย่างในระหว่างเรียนอยู่ด้วยกันที่อเมริกา

หญิงสาวร่างสูงโปร่งในชุดสูทสีเงินสไตล์สาวออฟฟิศ ก้าวไปหาทนายหนุ่มเมื่อเห็นเขาลุกยืนโบกไม้โบกมือมาให้ เธอยิ้มให้เขาพร้อมคำทักทาย

“รอนานไหมคะ”

“ไม่นานหรอกครับ” เขาผายมือเชิญชวน “นั่งก่อนสิ”

“ขอบคุณค่ะ รถติดมากเลยค่ะ”

“บ้านเราก็แบบนี้แหละเดี๋ยวก็ชิน” ชายหนุ่มทิ้งตัวลงนั่งที่เดิม แล้วดูนาฬิกาที่ข้อมือ

“นัดลูกความไว้กี่โมงคะ”

“บ่ายโมงน่ะ”

“แต่นี่จะบ่ายโมงกว่าแล้วนี่คะ”

“ไม่เป็นไรหรอก เรารออีกสักหน่อยแล้วกันนะ” ชายหนุ่มตอบอย่างใจเย็น “จะดื่มอะไรหน่อยไหม”

“ไม่ค่ะขอบคุณ”

“เริ่มชินกับที่นี่หรือยังครับ”

เธอยิ้มขบขันกับคำถามของชายหนุ่ม “ไปเรียนแค่ไม่กี่ปีเองนะคะทำไมจะไม่ชินกับเมืองไทยล่ะ”

“นั่นสินะ” เขายิ้มแก้เก้อ “ผมกลัวคุณจะเบื่อรถราจนพาลไม่อยากจะอยู่ในกรุงเทพฯ นะสิ”

“น่าเบื่อที่สุดเลยค่ะ แต่ได้มีโอกาสได้มาฝึกงานกับทนายเก่งๆ ใจดีๆ แบบคุณจุลมันก็ยอมค่ะเพราะหาแบบนี้ไม่ได้ง่ายๆ นะคะ”

รวิกานต์ยิ้มให้คนฟังที่กำลังหัวเราะ เขาไม่เดือดร้อนว่าเธอจะมาช้า มาสาย หรือไม่มาเลย การที่เขาทำดีด้วย ยิ่งทำให้เธอรู้สึกเกรงใจ นอกจากเขาจะไม่เคยบ่นแล้วยังช่วยสอนงานทุกอย่างที่เธอควรรู้สำหรับอาชีพทนายความอย่างละเอียดลอออีกด้วย

จุลพงศ์ทำงานอยู่ในสำนักงานทนายความของครอบครัว โดยมีทนายรุ่นเก๋าอย่างพ่อและพี่ชายคอยช่วยเป็นที่ปรึกษา ส่วนเด็กฝึกงานอย่างเธอเขาให้มาทำหน้าที่เก็บรายละเอียด และคอยบันทึกข้อมูลสำคัญของลูกความที่นัดไว้วันนี้

เธอกับจุลพงศ์นั่งรอลูกความอยู่ไม่นาน ผู้ชายสามคนในวัยที่แตกต่างกันก็เดินตรงเข้ามาหา พวกเขามีสีหน้าอมทุกข์ แต่งกายเรียบง่ายลักษณะท่าทางบ่งบอกว่าเป็นชาวบ้านธรรมดาๆ

คุณลุงในวัยหกสิบกว่ายื่นซองสีน้ำตาลให้กับจุลพงศ์ แล้วทิ้งตัวลงนั่งตามคำเชิญของทนายหนุ่มที่รับซองจากคุณลุงมาแล้วก็รีบเปิดดึงเอกสารออกมาอ่าน เขากวาดสายตาผ่านรวดเดียวจนหมด จากนั้นเขาก็หันมาทางเธอ

“คุณช่วยจดรายการให้หน่อยครับ”

จุลพงศ์บอกสิ่งที่เขาต้องการเพิ่มเติมจนครบ เธอจดตามคำสั่งเสร็จก็ยื่นให้กับลูกความของเขา จากนั้นก็ตั้งใจฟังคำสนทนาของพวกเขาทั้งสี่คนเพื่อจดรายละเอียดที่สำคัญไว้ ทำหน้าที่เหมือนเป็นเลขาทั้งที่ยังอยู่ในคราบของเด็กฝึกงาน

“คุณลุงช่วยเตรียมเอกสารตามที่จดนี้เพิ่มมาให้ผมด้วยนะครับ ถ้าไม่มีตัวจริงก็เอาสำเนา ใบโอน ใบมอบอำนาจหลักฐานอ่ื่นๆ ที่ลุงเคยเซ็นไว้เอกสารที่เกี่ยวข้องกับที่ดินแปลงนี้ เก็บรวบรวมมาให้หมดครับ”

“ครับ ผมจะรีบจัดการให้เร็วที่สุด คุณทนายช่วยผมด้วยนะครับ ผมจนปัญญาแล้วจริงๆ พวกนั้นยึดทรัพย์สินทุกอย่างที่เป็นของผมไปหมดแบบนี้ แล้วผมจะทำมาหากินยังไง บ้านช่องจะไปอยู่กันตรงไหน”

ลูกความของทนายจุลพงศ์พูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียดจนคนฟังอย่างเธอรู้สึกเห็นใจทั้งฝ่ายทนายและลูกความ ที่ต้องมารับมือกับคนจำพวกชอบใช้อำนาจในทางผิดๆ

จุลพงศ์รวมมือหยาบกร้านของชายสูงวัยเอาไว้แล้วพูดอย่างให้ความหวัง “อย่าห่วงเลยครับ ที่ดินแปลงนี้เป็นกรรมสิทธิ์ของคุณลุง ไม่มีใครมาเอาไปได้หรอกครับถ้าคุณลุงไม่ยินยอม”

“แต่คนพวกนั้นมันมีอำนาจมาก”

“ไม่ต้องห่วงครับ ผมจะช่วยเต็มที่ คุณลุงจะได้ที่ดินแปลงนี้คืนแน่นอนครับ”

“ขอบคุณนะครับคุณทนาย ขอบคุณมากจริงๆ” น้ำเสียงสั่นเครือดังมาจากชายสูงวัย

หลังจากที่เธอนั่งฟังจุลพงศ์เจรจากับลูกความทั้งสามคุยกัน ก็พอจะรู้ว่าคุณลุงมีโอกาสฟ้องร้องเรียกที่ดินคืนมาเป็นของตัวเองไม่ยาก แต่ที่มันยุ่งยากอย่างที่เป็นอยู่นี้เพราะคนที่เอาไปเป็นผู้ทรงอิทธิพล ก็เลยไม่มีทนายคนไหนกล้ารับทำคดีนี้ให้คุณลุง แต่จุลพงศ์มีความมุ่งมั่นจะช่วยชาวบ้าน จึงไม่คิดเกรงกลัวอิทธิพลใคร มันทำให้เธอรู้สึกทึ่งในความกล้าหาญของเขา

รวิกานต์นั่งฟังทนายรุ่นพี่คุยแผนรับมือเรื่องการยื่นฟ้องเรียกที่ดินคืนกับลูกความสักพักเธอก็รีบขยับตัวตามชายทั้งสี่ที่ต่างพากันลุกขึ้นยืนเมื่อการสนทนาสิ้นสุดลง

“ผมลาละครับ”

คุณลุงกล่าวด้วยใบหน้าที่มีความหวังแล้วชายทั้งสามก็ยกมือไหว้
จุลพงศ์ และเลยมายังเธอที่ยังยืนอยู่ข้างทนายจุลพงศ์

หญิงสาวไหว้ตอบชายทั้งสามพร้อมรอยยิ้ม จากนั้นก็หันไปเก็บข้าวของใส่กระเป๋าเมื่อพวกเขาเดินห่างออกไป

จุลพงศ์ยืนรอส่งลูกความจนกระทั่งชายทั้งสามเดินออกจากโรงแรมไปแล้วเขาจึงหันมาถามหญิงสาวที่กำลังเก็บเอกสาร

“หิวไหม”

เธอเงยหน้ามองเขา “เอ่อ...” เพราะไม่ใช่เวลามื้ออาหารแล้วจึงอึกอัก

“ผมรู้ว่าคุณยังไม่ได้กินอะไร ไปเถอะเราหาข้าวกินกันก่อนเข้าออฟฟิตจะได้ไม่หิ้วท้องไปหิวอยู่บนถนน”

เธอยิ้มก่อนตอบ “ได้ค่ะ แต่จะไปที่ไหนเหรอคะ”

“ที่นี่แหละครับ ร้านอาหารของที่นี่เขาขึ้นชื่อเลยนะ”

“อ๋อค่ะ งั้นขอเวลาสักแปบนะคะ”

รวิกานต์รีบหันกลับไปเก็บข้าวของ เก็บเสร็จเขาก็เอื้อมมือมาคว้ากระเป๋าเอกสารจากเธอไปถือเอง

“ทางนี้ครับ”

จุลพงศ์ผายมือบอกทางแล้วเดินนำรวิกานต์ไปยังห้องอาหารที่อยู่ภายในโรงแรม แต่ทั้งคู่ยังไม่ทันก้าวเดินไปถึงไหนก็มีเสียงห้าวๆ ร้องทักดังมาจากด้านหลัง ชายหนุ่มหันกลับไปมองแล้วเอื้อมจับมือรวิกานต์ดึงให้เธอไปยืนอยู่ข้างหลังเขาเมื่อรู้ว่าเจ้าของเสียงที่เรียกนั้นเป็นเสียงของคู่กรณีที่กำลังจะมีคดีความฟ้องร้องกัน

ราเชนมากับสาวสวยที่แต่งตัวเซ็กซี่ไม่ต่างกับพริตตี้ในงานมอเตอร์โชว์ เขายิ้มร่าขณะเดินเข้ามาหาจุลพงศ์

“สวัสดีครับคุณทนาย”

จุลพงศ์ยิ้มรับ “สวัสดีครับ”

“แหม บังเอิญจริงๆ มาทำอะไรกันเหรอครับนี่” ราเชนถาม และเหลือบสายตามองรวิกานต์ รอยยิ้มที่มีเลศนัยผุดขึ้นตรงมุมปาก

“ผมมาทำงาน”

“ขยันจริงๆ แต่เดินดีๆ นะครับระวังจะเผลอไปเหยียบเท้าใครเข้า แล้วจะเดือดร้อน”

“ขอบคุณครับที่เตือน”

ราเชนยิ้มได้ใจ “ก็เตือนๆ กันไว้ครับ เราก็รุ่นราวคราวเดียวกันถ้าจะเป็นเพื่อนกันได้ผมก็ยินดีนะครับ”

จุลพงศ์ยิ้มแต่สายตาที่จ้องมองราเชนมีแววกระด้าง “ขอบคุณที่ให้เกียรติแต่บังเอิญผมเข้ากับคนอื่นยากครับ”

“ยิ่งดีเลยครับอย่างนี้เราต้องยิ่งมาเป็นเพื่อนกัน เพราะผมเข้าได้กับคนทุกระดับโดยเฉพาะระดับสูงๆ คุณคงเข้าไม่ถึง ถ้าเผื่อคุณเดือดร้อนอะไรมาถ้าผมก็ยินดีจะช่วย”

“ขอบคุณ แต่ถ้าเราทำอะไรที่ถูกต้อง ถูกกฎหมายมันก็ไม่มีอะไรต้องกลัวหรอกครับ”

จุลพงศ์พูดจบราเชนก็หัวเราะร่วนเหมือนคนบ้าแถมยังเอ่ยชวนกินข้าวอีกทั้งๆ ที่ก็รู้ว่าไม่ค่อยจะชอบหน้ากัน

“ผมกำลังจะไปกินมื้อเที่ยงพอดี ถ้าไม่รังเกียจอยากเชิญคุณจุลพงศ์กับเอ่อ...คุณคนสวยไปร่วมโต๊ะกับผมสักมื้อได้ไหมครับ” ราเชนชะโงกหน้าข้ามไหล่จุลพงศ์มองรวิกานต์ แต่ฝ่ายตรงข้ามก้าวเท้าขยับมายืนบัง ก่อนตอบกลับ

“ขอบคุณครับ แต่เรากำลังรีบขอตัวนะครับ” จุลพงศ์ปฏิเสธแล้วก้าวเท้าเดินต่อแต่เปลี่ยนจากทิศทางเดิมไปเป็นหน้าประตูโรงแรมแทน

“เดี๋ยวสิคุณ” ราเชนปรี่เข้ามาขวางทาง ส่งแววตากรุ้มกริ่มมาที่หญิงสาว “กินข้าวกับผมสักหน่อยคงไม่เสียเวลามากหรอกมั้งครับ”

จุลพงศ์มองหน้าราเชน ลูกนักการเมืองที่ชอบทำตัวกร่างก่อนบอกเสียงเรียบ

“ขอโทษนะครับ ไปเถอะ”

จุลพงศ์หันมาบอกหญิงสาว แล้วคว้ามือเธอเดินนำไปที่ประตูทางออกและเหมือนเขาจะรู้ว่าเธอกำลังคิดอะไร เพราะเดินห่างออกมาได้ไม่ไกลนัก ชายหนุ่มก็ก้มหน้ามากระซิบโดยไม่ต้องรอให้ถาม

“ในนี้อากาศไม่ดีแล้ว เราออกไปหาอะไรกินข้างนอกกันดีกว่า”

“ค่ะ”

เธอตอบรับแล้วหันกลับไปที่ราเชน ก็เห็นเขายืนกำหมัดมองมา ท่าทางเหมือนคนกำลังโกรธจัด

“ท่าทางเขาคงโกรธเรานะคะ ดูน่ากลัว”

“กลัวทำไม เราไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย” เขาหันมายิ้มอย่างผ่อนคลายขณะสาวเท้าไปข้างหน้า

“แต่เราไม่ประมาทก็ดีนะคะ” เธอเริ่มรู้สึกเป็นห่วงจุลพงศ์ที่ต้องมาเผชิญหน้ากับคนนิสัยไม่ดีอย่างนายราเชน

ร่างสูงๆ หยุดเดินแล้วหันมามองหญ้าเธอ “อย่าห่วงเลย ผมไม่ประมาทหรอก” แล้วยิ้มเหมือนคนที่ไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับคำขู่ของคู่กรณี

“ไม่ห่วงได้ด้วยเหรอคะ”

“ได้สิ ไม่ต้องห่วงหรอก ผมรับมือกับคนแบบนี้ได้สบายอยู่แล้ว”

“ค่ะ” เธอรับคำอย่างฝืนๆ ไม่ค่อยวางใจนักยังไงเธอก็อดเป็นห่วงเขาไม่ได้อยู่ดี เพราะเขาเป็นทั้งพี่ ทั้งเพื่อน และเจ้านายที่ดีของเธอเสมอมา

รวิกานต์ลอบถอนใจ เธอดึงมือของตัวเองออกจากการเกาะกุมแล้วเดินตามจุลพงศ์ไปเงียบๆ แต่ออกมาได้แค่หน้าประตู ก็มีเสียงเรียกดังขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้เป็นเสียงของผู้หญิงสาวที่เข้ามาเรียกเธอ

“ฟ้าใส... ฟ้าใสใช่ไหม ใช่ๆ ใช่เธอจริงๆ ด้วย”

น้ำเสียงนั้นดีใจจนรวิกานต์ต้องหันมาขมวดคิ้วมองอย่างตั้งใจ หญิงสาวในชุดของข้าราชการกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามาหาเธอ พอมาถึงก็ยืนยิ้มแก้มปริพร้อมจับแขนเธอเขย่า

“ดีใจจังเลยที่ได้เจอ จำเราได้ไหมเนี่ย”

รวิกานต์ยิ้มให้กับคนที่ถามไปหอบไป “เพื่อนจำเพื่อนไม่ได้ก็แย่แล้ว” พูดจบเธอก็กอดอรนภา เพื่อนสนิทในโรงเรียนมัธยมที่ไม่ได้เจอกันเลยหลายปีหลังจากแยกย้ายกันไปเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย

“เธอแย่มากเลยนะฟ้าใส หายหน้าไปเลยไม่ติดต่อมาหาพวกเราสักคน” อรนภาตำหนิเสร็จก็เหล่ตามองคนที่ยืนทำหน้าหล่ออยู่ข้างๆ รวิกานต์จากนั้นก็ส่งสายตาพยักพเยิดหน้ากับเพื่อนแทนคำถาม

“คุณจุลพงศ์ เจ้านายของเรา” คำตอบของรวิกานต์ทำเอาคนฟังลอบถอนใจราวกับกำลังโล่งอก จากนั้นก็แนะนำตัวอย่างกันเองกับชายหนุ่ม

“สวัสดีค่ะ ฉันชื่ออรนภาเป็นเพื่อนกับฟ้าใส”

จุลพงศ์ยิ้มรับพร้อมคำทักทาย “สวัสดีครับคุณอรนภา”

“อรมาทำอะไรที่นี่” เสียงถามของรวิกานต์ดึงความสนใจของอรนภาออกจากจุลพงศ์

“มาสัมมนา เห็นไหม” คนพูดชี้เสื้อผ้าที่ตัวเองสวมใส่ด้วยความภาคภูมิใจ “ฉันได้เป็นครูแล้วนะ”

“ดีใจด้วยที่เธอได้เป็นครูสมใจ แล้วสอนที่ไหนเหรอ”

“ก็สอนอยู่ในโรงเรียนประถมแถวๆ บ้านเรานั่นแหละ เราก็ดีใจกับเธอด้วยนะทนายฟ้าใสแสนสวย”

“เปล่าๆ เรายังไม่ได้เป็นทนาย เราแค่ผู้ช่วย” รวิกานต์รีบปฏิเสธ

“เถอะน่า ยังไงก็ได้เป็นทนายอยู่ดี ฟ้าใสเรียนเก่งใครๆ ก็รู้ เออนี่เธอ อาทิตย์นี้ชั้นมัธยมรุ่นเราจัดมีตติ้งกันน่ะ เราอยากให้ฟ้าใสไปร่วมสนุกด้วย มีแต่คนบ่นถึงเธอเยอะแยะเลยนะรู้ไหม”

“แต่ช่วงนี้เรายังไม่ค่อยว่างเลยน่ะสิ” เธอปฏิเสธไม่เต็มเสียงนักเพราะเกรงใจคนชวน

“คุณคะ ฟ้าใสไม่มีวันหยุดเลยเหรอคะ” อรนภาหันมาถามทางจุลพงศ์

“อ๋อ เอ่อครับ ช่วงนี้เรากำลังยุ่งๆ น่ะครับ แต่ว่าน่าจะจัดสรรเวลาได้อยู่นะครับ” จุลพงศ์ตอบเลี่ยงๆ เพราะรู้ดีว่ารวิกานต์ยังไม่อยากไปงานเพราะอะไร

“แหม...หาเวลาว่างๆ ให้ฟ้าใสพักหน่อยนะคะ พวกเราไม่ได้เจอกันนานหลายปีเลยนะคะ” น้ำเสียงอรนภาพูดเชิงข้อร้องแต่ยังไม่ทันได้พูดอะไรมาก เพื่อนครูที่มาสัมมนาด้วยกันก็ร้องเรียกเสียงดัง

“อรๆ เร็วๆ รถมารับแล้ว”

“อ๋อๆ โอเคๆ แปบนึงนะ”

เสียงที่เรียกเร่งทำให้อรนภารีบเปิดกระเป๋าหยิบกระดาษปากกาขึ้นมาเขียนรายละเอียด เสร็จแล้วก็ส่งกระดาษให้กับรวิกานต์และไม่ลืมที่จะกล่าวกำชับ

“นี่รายละเอียดสถานที่จัดงานกับเบอร์โทรศัพท์ของเรา หาเวลามาให้ได้นะฟ้าใส เราต้องกลับก่อน เสียดายจังเราน่าจะมาเจอกันเร็วกว่านี้ มีเรื่องคุยกันเยอะเลย เราไปนะอย่าลืมนะไปงานให้ได้นะเราจะรอ”

อรนภาพูดจบก็รีบวิ่งไปขึ้นรถตู้ที่จอดรอ

อรนภาไปแล้วจุลพงศ์ก็ถือโอกาสคุยเรื่องนี้กับหญิงสาว “คุณไปเจอเพื่อนๆ บ้างนะ” จุลพงศ์เอ่ยขณะยืนมองรถตู้ของคณะครูกำลังลับตาไป

“ฉันมีงานต้องทำ ต้องเรียนรู้อีกเยอะแยะ ไม่มีเวลาไปเที่ยวเล่นหรอกค่ะ”

จุลพงศ์รู้ว่าที่เธอพูดมันเป็นเพียงข้ออ้าง “แต่ยังไงคุณก็ต้องกลับไปเยี่ยมบ้านบ้างนะ ตั้งแต่กลับจากอเมริกาคุณก็เอาแต่ทำงาน คุณจะหนีปัญหาไม่ได้ตลอดไปหรอกนะ ผมว่าคุณกลับไปเตรียมตัวอ่านหนังสือสอบดีกว่านะครับ”

จุลพงศ์รู้ว่ารวิกานต์ไม่อยากกลับบ้านเพราะต้องการหนีใครบางคน แต่การหนีไม่ใช่ทางออกที่ดี และช่วงนี้เขากำลังทำคดีที่ค่อนข้างเสี่ยงต่อชีวิต นายราเชนคงไม่อยู่เฉยแน่หากถูกเขายื่นฟ้องคดีบุกรุกที่ดิน เขาจึงไม่อยากให้หญิงสาวต้องมารับอันตรายที่อาจเกิดขึ้น ยิ่งเห็นสายตาของราเชนที่มอง

รวิกานต์วันนี้แล้วเขาก็ยิ่งไม่สบายใจ สู้ให้เธอกลับไปอ่านหนังสือเตรียมตัวสอบใบอนุญาตว่าความอยู่ที่บ้านน่าจะดีที่สุด

“เรื่องกลับไปเยี่ยมบ้านเดี๋ยวค่อยคุยกันดีกว่านะ ตอนนี้เราหาข้าวกินก่อนผมมีร้านเด็ดๆ จะนำเสนออยู่ไม่ไกลจากตรงนี้เท่าไหร่”

“ไปสิคะ”

ชายหนุ่มยิ้มก่อนยกมือแตะข้อศอกหญิงสาว พาเธอเดินออกจากโรงแรมไปยังลานจอดรถ


รวิกานต์นึกถึงวันที่เธอตัดสินใจทิ้งสังคมในช่วงชีวิตวัยมัธยม การตัดสินใจของเธออาจโหดร้ายกับเพื่อนบางคน แต่สิ่งที่เธอเจอวันนั้นมันก็โหดร้ายกับเธอมากเหมือนกัน

เธอจำเป็นต้องตัดการสื่อสารกับเพื่อนทุกคนที่เรียนมัธยมด้วยกัน เพราะไม่ต้องการรับรู้ข่าวสารของใครบางคนที่ทำให้เธอเจ็บปวด แต่การวิ่งหนีก็ไม่ช่วยอะไรได้เลย ภาพในวันนั้นก็ยังติดตา ยังตามหลอกหลอนหัวใจของเธอจนทุกวันนี้

แม้หัวใจจะยังจมอยู่กับความรัก แต่ชีวิตการเรียนของเธอราบรื่นดี เพราะมีจุลพงศ์คอยทำหน้าที่พี่เลี้ยงช่วยสอนทั้งเรื่องการเรียนและการใช้ชีวิตในต่างแดน เขาดูแลเธอเสมอต้นเสมอปลาย ทำหน้าที่พี่เลี้ยงตั้งแต่ครั้งแรกที่พบกันจนกระทั่งวันนี้ หน้าที่พี่เลี้ยงของเขาเหมือนจะยังไม่สิ้นสุดทั้งๆ ที่ต่างก็เรียนจบมาแล้วด้วยกันทั้งคู่

“ผมขอเวลาสะสางงานสักสองวันนะ แล้วจะไปส่งที่บ้าน” เขามาบอกเธอหลังจากที่ดูตารางงานของตัวเอง

“ฉันกลับบ้านเองก็ได้ค่ะ”

“ให้ผมไปส่งเถอะ ผมไม่ได้ไปเยี่ยมคุณพ่อคุณแม่นานแล้ว”

เธอยิ้มให้เขา “ก็ได้ค่ะ ขอบคุณนะ” หญิงสาวกล่าวขอบคุณเขาด้วยความจริงใจ จุลพงศ์เคยพบพ่อแม่ของเธอแล้วหลายครั้ง เวลาที่ท่านทั้งสองมาหาเธอที่กรุงเทพฯ


ทนายหนุ่มใช้เวลาเคลียร์งานอยู่สองวันเต็มๆ ก็ว่างขับรถมาส่งเธอที่บ้าน ซึ่งอยู่ต่างจังหวัด ใช้เวลาในเดินทางจากกรุงเทพฯ จนถึงที่บ้านประมาณสองชั่วโมงกว่าๆ

รถเก๋งสีขาวป้ายทะเบียนกรุงเทพฯ เลี้ยวเข้ามาจอดหน้าโรงเรียน

รวิกานต์พาจุลพงศ์มาพบแม่ที่ห้องธุรการ

ครูปิ่นทิพย์คือแม่ของเธอ เป็นครูใหญ่และเป็นเจ้าของโรงเรียน

‘ปัณณวัฒน์’ ที่มีระดับชั้นถึงประถมศึกษาปีที่หก ครูปิ่นทิพย์เป็นคนเฮี๊ยบมีระเบียบ นิสัยต่างกับพ่อ ที่ใจดีแต่บางทีก็มีดุดันบ้างเหมือนกันนั่นอาจเพราะติดนิสัยมาจากอาชีพตำรวจ

“ไหว้พระเถอะลูก” ครูปิ่นทิพย์รับไหว้แล้วออกปากชวนชายหนุ่ม “ไหนๆ ก็มาถึงนี่แล้วอยู่กินข้าวเย็นก่อนค่อยกลับนะจุล”

“วันนี้อยู่ไม่ได้จริงๆ ครับคุณแม่ ผมมีงานด่วน เอาไว้คราวหน้าผมจะมาขอข้าวกินนะครับ”

“มาเป็นลูกเขยเมื่อไหร่ แม่ทำให้กินทุกมื้อ” ครูปิ่นทิพย์แซวอย่างจงใจ

“แม่...” รวิกานต์เขย่าแขนมารดา รู้สึกอายที่แม่บอกความต้องการของตัวเองอย่างโจ่งแจ้ง

“โถ มัวอายแล้วเมื่อไหร่จะได้แต่ง เดี๋ยวก็แก่ขึ้นคานกันพอดี” สิ้นเสียงครูปิ่นทิพย์บรรดาครูน้อยที่ยังนั่งทำงานอยู่ในห้องก็ส่งเสียงหัวเราะชอบใจ

จุลพงศ์ยิ้มกับแม่ของเธอก่อนบอกลา “ผมกลับก่อนนะครับ”

ชายหนุ่มยกมือไหว้ครู่ปิ่นทิพย์และครูคนอื่นๆ ท่าทางที่นอบน้อมของเขาทำให้จุลพงศ์เป็นที่ถูกอกถูกใจผู้ใหญ่ ยิ่งได้รู้ว่าเขามีดีกรีจบมาจากเมืองนอก ทุกคนในที่นี้ก็พากันเชียร์ยกใหญ่

“ฉันไปส่งค่ะ”

เธอบอกแล้วเดินตามออกมาส่งเขาที่รถ

“อย่าสนใจคำพูดของแม่เลยค่ะ แม่ก็ชอบแซวไปเรื่อย”

ชายหนุ่มหยุดเดินแล้วหันมาทางเธอ “ถ้าสิ่งคุณแม่พูดเป็นความต้องการของผมด้วยล่ะ”

รวิกานต์หัวเราะกลบเกลื่อน “คุณก็อีกคน ชอบพูดเล่นอยู่เรื่อย เพราะแบบนี้ไงคะถึงเข้ากับแม่ได้เป็นปี่เป็นขลุ่ย”

“นี่ฟ้าใส” จุลพงศ์รวมมือของเธอมากุมไว้ “คุณก็รู้ว่าผมไม่ได้พูดเล่น จำไว้นะ ถ้าเมื่อไหร่ที่คุณพร้อมจะเริ่มต้นใหม่อย่าลืมผม”

น้ำเสียงเขาแฝงความจริงจังจนเธอรู้สึกอึดอัด เพราะรู้ดีว่าเขาคิดยังไง แต่เธอก็รับรักเขาไม่ได้เพราะหัวใจของเธอยังไม่พร้อมที่จะรับใครเข้ามา

รถของจุลพงศ์แล่นออกไปได้สักพักแล้ว แต่รวิกานต์ยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม เขาเอ่ยปากขอความรักจากเธอครั้งแล้วครั้งเล่า ถึงจะรู้สึกเห็นใจเขา แต่ภาพในความทรงจำเก่าๆ ความรู้สึกเดิมๆ ทำให้เธอต้องรั้งความคิดนั้นไว้

เพราะเรื่องราวในอดีตยังฝังความเจ็บปวดไว้ในหัวใจของเธอ


ขณะกำลังยืนคิดอะไรเพลินๆ ลูกฟุตบอลจากสนามก็กลิ้งมากระแทกต้นแขน รวิกานต์หันกลับไปมองทิศทางที่มาของลูกบอลก็เห็นเด็กชายตัวอ้วนๆ กลมๆ ในชุดนักเรียนชั้นอนุบาลวิ่งเหยาะแหยะเข้ามา

หญิงสาวย่อเข่านั่งจับลูกบอลเอาไว้ไม่ให้มันกลิ้งเลยออกไป มองเด็กชายที่วิ่งมาหยุดหอบหายใจแรงอยู่ตรงหน้า เด็กชายพนมไหว้แล้วพูดตะกุกตะกัก

“ขะ ขอโทษครับ...”

เธอยิ้มแล้วยื่นมือปาดเหงื่อที่ไหลท่วมใบหน้าอวบๆ ของเด็กน้อยพลางถาม “ชื่ออะไรจ๊ะ”

“ติวเตอร์คับ”

“ป่านนี้แล้วทำไมยังไม่กลับบ้านอีกคะ เย็นแล้วนะ” เธอถามเพราะเวลาประมาณนี้เด็กๆ ในชั้นอนุบาลก็กลับบ้านกันจนหมดแล้ว

“รอพ่อคับ”

“อ๋อ...ติวเตอร์เรียนอยู่ชั้นไหนแล้วคะ” รวิกานต์แกล้งถามเพราะอยากชวนคุยทั้งๆ รู้ว่าเขาเป็นเด็กอนุบาล

“ชั้นปอ...อนุบาลคับ”

เด็กชายตอบแล้วเกาหัวแกรกๆ ดวงตาใสๆ จับจ้องที่ลูกบอลคงคิดว่า ‘เมื่อไหร่จะได้คืน’

รวิกานต์ยิ้มน้อยๆ ให้กับความใสซื่อของเด็กชายที่ยืนทำตาวิงๆ มองสิ่งที่ต้องการ เธอกำลังจะคืนลูกบอลให้ แต่ยังไม่ทันจะยื่นมันออกไป เพื่อนๆ ที่ยืนอยู่ในสนามก็ตะโกนเรียกเสียงดังลั่น

“เตอร์พ่อมาแล้ว”

ใบหน้าขาวอูมเปื้อนรอยยิ้ม กระโดดตัวลอยแสดงอาการดีใจ

“เย้! พ่อมาแล้ว”

เด็กชายหันขวับมาที่ลูกบอลท่าทางร้อนรนกว่าเดิม แต่ก็ยังไม่กล้าเอ่ยขอบอลคืนตรงๆ

“พ่อมาแล้ว...”

“นี่จ้ะ” รวิกานต์ยื่นลูกบอลคืนให้เด็กชายพลางยิ้มอย่างนึกเอ็นดูในท่าทางของเด็กน้อย

“ขอบคุณคับ”

ติวเตอร์ยกมือไหว้ แล้วอุ้มลูกบอลวิ่งกลับเข้าไปในสนาม ปากก็ตะโกนร้องโหวกเหวก มืออีกข้างที่ว่างก็ยกโบกไหวๆ ให้กับร่างสูงใหญ่ที่กำลังก้าวเข้ามาหา

“พ่อเขม! พ่อเขม! เตอร์อยู่นี่...”

เสียงเรียกของเด็กชายทำให้รวิกานต์ที่ลุกยืนและกำลังจะหมุนตัวเดินกลับไปหาแม่ต้องหยุดชะงักยืนขาแข็ง การเต้นของหัวใจขาดหายไม่เป็นจังหวะ เมื่อมองไปยังร่างสูงใหญ่ที่กำลังเดินเข้ามาหาเด็กๆ ในสนามด้วยท่วงท่าและใบหน้าที่เธอยังจดจำได้ดี เขาย่อตัวลงมาอุ้มติวเตอร์ เขาหอมแก้มเด็กชายซ้ายทีขวาทีแล้วเหยียดแขนยกร่างอวบอ้วนขึ้นสูงเหวี่ยงกวัดแกว่งไปมาหยอกล้อจนเด็กชายร้องลั่นด้วยความหวาดเสียวเมื่อต้องอยู่กับความสูง

เสียงหัวเราะของสองพ่อลูกบาดลึกเข้าไปในหัวใจของหญิงสาว

เพราะแค่ได้ยินเด็กน้อยเรียกเขาว่า ‘พ่อ’ หัวใจของเธอก็หนักหน่วงเหมือนถูกตรวนด้วยโซ่หนา แล้วเธอจะรับความจริงได้แค่ไหนหากต้องเผชิญหน้ากับเขาในคืนนี้

ภาพตรงหน้าบ่งบอกให้รู้ว่าเขมทัตมีความสุขดีใบหน้าเข้มยิ้มแย้ม เสียงหัวเราะของเขากับลูกชายดังก้องประสานเสียง ใช่สิ...เขามีลูกชายที่น่ารัก เขาต้องมีความสุขดีอยู่แล้ว อายุของติวเตอร์ก็เหมาะเจาะลงตัวพอดี กับเหตุการณ์ในวันนั้น วันที่เธอตัดสินใจไปเรียนต่อที่อเมริกา เพราะต้องการหนีไปให้ไกล เพื่อตัดขาดกับทุกชีวิตที่ทำให้หัวใจของเธอเจ็บปวด

เขาคงลงเอยกันแล้วจริงๆ สินะ

รวิกานต์มองภาพตรงหน้าอย่างรู้สึกสะท้อนสะท้านในหัวใจ