หัวใจหนาบเหน็บเป็นเกล็ดน้ำแข็ง
ดราม่าน้ำตาริน
หัวใจหนาบเหน็บเป็นเกล็ดน้ำแข็ง
ดราม่าน้ำตาริน
เพราะกำไลหยกสีเขียวลายเส้นสีทอง ทำให้เธอต้องข้ามภพมาต้าชิง ท่ามกลางสงครามการชิงบังลังค์ ศึกครั้งนี้เธอขอไม่เกี่ยวข้อง ขออยู่คนเดียวได้ไหม แต่พวกเขาไม่ฟังจะลากเธอขึ้นเตียงอย่างเดียว!
  • 1 ตอน
  • 270
นิยายโดย
  • 1 คนติดตาม
บทนำ

หัวใจหนาวเหน็บ เป็นเกล็ดน้ำแข็ง

หลอมใจแกร่ง บอบบางไร้สิ้นหนทาง


ค.ศ.1695 ตรงกับคังซีปีที่ 34 ในฤดูเหมันต์แรกของปี หิมะโปรยปรายลงมาไม่หยุดคนที่หลบซ่อนอยู่ในห้อง ต้องใช้ผ้าห่มทับหลายผืนจึงพอจะทุเลาความหนาวได้ แต่นุ่นที่ยัดใส่ในผ้าห่มเริ่มบางและเก่าเกินใช้งาน นางจึงทำได้เพียงอยู่ใกล้กับเตาไฟกลางห้อง มารดาออกไปก่อนหิมะจะตก จนล่วงเลยไป 1 ชั่วยามแล้วก็ยังไม่กลับ ทำให้เธอกังวลใจมาก

ร่างเล็กอายุแค่ 10 ขวบ ขยับเข้าเตาไฟอีกเพราะต้องการความอบอุ่น ไม่รู้ว่ามารดาจะโดนบ้านใหญ่รังแกอะไรมาอีก ทำให้นางกังวล กำลังจะลุกขึ้นไปตามท่านแม่ แต่เมื่อลุกขึ้นไฟก็ปัดไปถูกผ้าห่ม เด็กสาวทำอะไรไม่ถูกได้แต่เอาผ้าห่มที่อยู่ในกาย ปัดลงไปยิ่งทำให้ไฟลุกลามมากกว่าเดิม กว่าจะรู้ตัวก็ตอนที่ใกล้จะหมดลมหายใจ

ร่างของจื่อเวยล้มลงหลับใกล้กองไฟแล้วหมดลมหายใจ องค์รักษ์เฟยหยางที่ย่างก้าวเข้ามาในเรือนหันมองควันไฟ ลอยมาจากห้องตะวันออก เป็นห้องของน้าเจียวฝาง เมื่อคิดว่าจื่อเวยอาจมีอันตรายเขาก็รีบวิ่งไปอย่างรวดเร็ว มองเห็นไฟที่ลุกไหม้ บ่าวรับใช้ต่างพากันดับไฟ หันมองฮูหยินรองเจียวฝางที่ร่ำไห้อยู่นอกห้อง เขาไม่คิดสิ่งใดรีบวิ่งเข้าไป

“คุณชายเฟยหยาง” บ่าวรับใช้ร้องเรียกชื่อ ก่อนห้ามปรามเข้าไปแต่ไม่ทันเมื่อชายหนุ่มวิ่งเข้าไปมองหาจื่อเวย เห็นหญิงสาวสลบใกล้กองไฟเขารีบอุ้มนางขึ้นมาแล้วพาข้ามคานไม้ที่หล่นขวางทาง เมื่อออกมาได้เขาก็ร้องเรียกชื่อนางไม่หยุดปาก แต่ก็ไร้เสียงตอบรับมือเขายกไปอังจมูกนาง ก่อนพบว่านางสิ้นใจแล้ว

“จื่อเวยตื่นมาเจอพี่เจ้าก่อน พี่พึ่งกลับมาจากฝึกไม่ทันได้สอนเจ้าเล่นหมากล้อม เจ้าก็ทิ้งพี่ไปเสียแล้ว”

เขากอดร่างน้องสาวที่อายุน้อยกว่าเขาห้าปี แต่เด็กสาวก็ไม่รู้สึกตัว กระทั่งเพลิงไฟถูกดับจนหมด เขายกร่างจื่อเวยเพื่อไปยังตึกใหญ่วางนางบนเตียงตั่งมองใบหน้าเด็กสาวอย่างปวดใจ เขาจากนางไป 5 ปี เพื่อฝึกทหาร ทุกวันเฝ้าแต่คิดถึงน้องสาวคนนี้ แต่เหตุใดเมื่อพี่กลับมานางถึงได้รีบด่วนจากไปเยี่ยงนี่ เขากุมมือนางไว้แล้วเอ่ย

“จื่อเวยพี่ชายเจ้ากลับมาแล้ว ตื่นขึ้นมาคุยกับข้าได้หรือไม่” ยังมีหลายอย่างที่เขายังไม่ได้บอกนาง ยังมีความในใจและความลับที่เขายังไม่ได้เอ่ย มองไปยังใบหน้าที่นิ่งเหมือนหลับ หาได้สิ้นลมหายใจ หัวใจสั่นคลอนร่ำไห้ด้วยความปวดร้าว เฟยหยางใช้มือเช็ดรอยเปื้อนดำบนใบหน้า ก่อนก้มลงจูบหน้าผากจื่อเวย

ชายหนุ่มถอยออกแล้วให้ฮูหยินรองเจียวฝาง เข้ามาลาบุตรสาวเป็นครั้งสุดท้าย เขายืนมองนางด้วยความเสียใจ กำลังจะออกไปสั่งการเพื่อเตรียมงานศพ สายตาก็เห็นมือจื่อเวยขยับ

“จื่อเวย!” เขารีบเข้าไปประคองนางไว้ มองเปลือกตาที่เริ่มขยับขึ้นลง

“จื่อเวยเจ้าฟื้นแล้ว” เป็นเรื่องประหลาดมาก ก่อนหน้านี้เขาเห็นนางตายไปแล้ว แต่สวรรค์ยังส่งนางกลับมาหาเขาใหม่อีกครั้ง เป็นเรื่องน่ายินดียิ่งนัก

“จื่อเวยลูกแม่” เจียวฝางใช้มืออังจมูกมีลมหายใจอุ่นรดนิ้วมือ เรียกน้ำตาแห่งความดีใจให้ผู้เป็นมารดาเป็นที่สุด

ฟ้าใสลืมตามองกระพริบตาขึ้นลง สายตาพร่ามัวมองไม่ชัด เธอรู้สึกเหมือนเห็นหญิงจีนโบราณ กำลังเรียกชื่อ “จื่อเวย”

จื่อเวย คือใคร เธอไม่ใช่เสียหน่อย นึกถึงเรื่องก่อนหน้าหรือเธอจะอยู่โรงพยาบาลไม่ได้ตายอย่างที่คิด แต่ทำไมถึงรู้สึกเหนื่อยเหลือเกิน เธอไม่ทันลืมตาได้ชัดเจน ก็เหนื่อยแล้วผล็อยหลับไปอีกรอบ

เฟยหยางวางนางลงนอนตามเดิม ก่อนเชิญหมอมาตรวจอาการ

“อาจจะเพราะร่างกายนี้อ่อนแออยู่ก่อนแล้ว พอประสบกับเหตุการณ์ความเป็นความตายทำให้ร่างกายเหนื่อยล้า ให้นางพักสักวันสองวันก็ไม่มีอะไรแล้ว ข้าจะเจียดยาบำรุงร่างกายให้”

เฟยหยางขอบคุณท่านหมอ ก่อนให้บ่าวไปส่งกลับถึงเรือน เขาไปแค่ 5 ปี ท่านแม่ก็รังแกฮูหยินรองจนแทบจะหมดลมหายใจ ดูจากสภาพเรือนที่ไร้การดูแล บ่าวไร้ติดกายไม่ถึงสองคน

ไม่คิดเลยว่าการที่เขาต้องจากบ้านไป จะทำให้น้องสาวคนนี้ต่างมารดา ที่เขาสนิทและรักเหมือนน้องแท้ๆ จะสิ้นลมหายใจต่อหน้าเขา จื่อเวยพี่ขอโทษที่ไม่ได้ปกป้องเจ้าอย่างที่เคยสัญญา แต่ในเมื่อสวรรค์เมตตาให้นางกลับมาหาเขา จากนี้ต่อไป พี่จะปกป้องเจ้าด้วยชีวิต

พี่ให้สัญญาจื่อเวย น้องรัก


ฟ้าใสกระพริบตาสองครั้ง ก่อนหลับตาลงอีกรอบแล้วลืมตาใหม่ จำได้ว่าเธออยู่ถนนกำลังจะถูกรถชน แต่ทำไมถึงได้มาอยู่ในบ้านโบราณแบบนี้ ใครก็ได้ช่วยเธอหน่อย หันมองมือเธอที่ยังถือกำไลสีเขียวไว้แน่นไม่ปล่อย แสดงว่าเธอไม่ได้ฝัน แต่เธออยู่ที่ไหน

เธอลุกขึ้นจากเตียงมองเท้าที่เล็กกว่าปกติ จึงเดินไปดูกระจกเงาสีทองเหลือง มองร่างตัวเองที่กลายเป็นแค่เด็ก ภาพเด็กสาวในกระจกก็คือเธอ แต่ไม่ใช่ในอายุ25 ปี เพราะในกระจกตอนนี้คือร่างเธอ ในตอนอายุแค่10 ขวบ เธอมองมือน้อยก่อนสำรวจหน้าอกอีกครั้ง หายไปแล้วหน้าอกแสนภูมิใจของเธอ

ใครก็ได้บอกหน่อยว่ามันเรื่องอะไร หรือว่า

สายตาเธอหันมองกำไลสีเขียวเจ้าปัญหา จำได้ว่ากรรณิกาเคยเล่าเรื่องประหลาดให้ฟัง ว่าเจอสามีในสมัยเซี่ยงไฮ้เธอยังหัวเราะขำในโทรศัพท์ให้เพื่อนรัก ก่อนเอ่ยทับไปว่า

“ถ้าขิงไปได้ เราก็ไปได้สินะ แต่ว่าจะไปยุคไหนขอคิดก่อน”เธอนิ่งคิดไปครู่หนึ่งก่อนนึกถึงนิยายเรื่องหนึ่งที่อ่านขั้นเวลาที่ต้องเดินทาง

“ขอไปยุคจิ้นซีฮ่องเต้แล้วกัน ไม่เอาดีกว่าไปยุคคังซีดีกว่า เพราะต้องไปก่อนที่องค์ชายสี่จะขึ้นครองราชย์เราจะได้มีเหล่าองค์ชายรุมล้อมแย่งความรัก แบบนั้นพ่อกับแม่จะได้เลิกว่าเธอสักที ว่าไม่มีใครเอา”

เธอมองตัวเองในกระจกอีกครั้ง ก่อนมองกำไล เธอเชื่อแล้วขิงว่าเรื่องที่เล่าเป็นจริง แต่ช่วยพาเธอกลับไปได้ไหมคุณกำไล คราวหลังเธอจะไม่ดูถูกเรื่องแบบนี้อีกแล้ว ไม่ว่าขอร้องเท่าไรกำไลก็ไม่ส่งเธอกลับ มีเพียงส่งประกายสีทองใส่เธอแทน หันมองไปด้านนอก ถึงเวลาเธอต้องอยู่ในยุคนี้ให้ได้ ขอให้รอดที่เถอะสาธุ

หันมองด้านนอกเหมือนมีคนมา คนที่แกล้งป่วยจึงรีบขยับตัวขึ้นนอนตามเดิม เสียงประตูเปิดออก พร้อมกับเสียงเหมือนคนกำลังวางของบนโต๊ะ จากนั้นก็มีความอุ่นของผ้าซับไปตามใบหน้า

“จื่อเวย เจ้ารู้สึกตัวหรือไม่”

เสียงเหมือนเด็กชายหนุ่ม อายุน่าจะไม่เกิน 15-16 ปี

“พี่ชายเจ้ากลับมาแล้ว ฟื้นขึ้นมาทานยาก่อนเถอะ” เขามองเปลือกตาที่ขยับขึ้นลง อีกทั้งยังได้ยินเสียงคนขยับในห้องก่อนหน้าแล้ว แต่เด็กสาวคงยังโกรธเขาจึงไม่ยอมที่จะลืมตามาพูดคุย

“ตื่นเถอะ” ว่าแล้วก็บีบจมูกนาง

“หือออ” คนหายใจไม่ออกร้องประท้วงก่อนลืมตามองคนบีบจมูก เป็นเด็กชายจริงๆ แต่หน้าตาดีทีเดียว สิ่งที่เด่นชัดมากกว่าหน้าตาคือทรงผมแบบแมนจูครึ่งหัวและถักเปีย เธอมองชุดผ้าแพรสีน้ำเงินปักลายแขนยาว เสื้อและท่อนล่างแยกส่วนเหมือนคล้ายชุดขุนนางเวลาอยู่บ้านแบบหนังจีนโบราณ

ฟ้าใสไม่ได้พูดสิ่งใดแต่นิ่งฟังอีกฝ่ายพูดแทน

“ลุกขึ้นเถอะพี่จะป้อนข้าวต้มให้”

แน่ใจนะว่าร่างนี้ 10 ขวบ ทำไมชายหนุ่มต้องเอาใจราวกับเขาเป็นเด็กน้อยสามขวบ

“น้องกินเองได้เจ้าค่ะ”

เฟยหยางยกยิ้มเมื่อเด็กสาวพูดกับเขาแล้ว แต่ไม่ได้ส่งถ้วยให้นางอย่างที่ขอ เขายกช้อนขึ้นเบา “ให้พี่เอาใจเจ้าสักวันเถอะ”

คนไม่ใช่เด็กมองหน้าเด็กหนุ่มแล้วยอม เอาเถอะถึงยังไงร่างนี้ก็สิบขวบ ฟ้าใสลุกขึ้นนั่งแล้วให้พี่ชายต่างแม่ป้อนจนหมดถ้วย มองชายหนุ่มที่วางถ้วยบนโต๊ะ

“เสี่ยวชิงยกถ้วยยามา”

“เจ้าค่ะ”

ฟ้าใสมองเด็กสาวที่รับคำ คงเป็นสาวใช้ของจื่อเวย ไม่นานถ้วยยาร้อนก็มาถึง แค่กลิ่นยาเธอก็แทบจะวิ่งหนี ไม่แค่คิด เพราะตอนนี้เธอขยับถอยห่างไปเรื่อยๆ เรียกเสียงหัวเราะจากคนถือยาได้

“ยังไงเจ้าก็ต้องกิน จื่อเวย” เล่นขู่เสียงเข้มแบบนี้ เธอไม่กินเขาคงเอาดาบปาดคออย่างไม่ต้องสงสัย คนที่กลัวตายอีกรอบจึงรับมากิน

กินไปหนึ่งคำ แน่ใจนะว่าเป็นยาไม่ใช้ยาพิษ

กินไปคำที่สอง เริ่มรู้สึกว่ามันเป็นยาพิษแล้ว หันมองอีกเต็มถ้วย จึงดึงจากมือเขาแล้วรีบยกขึ้นดื่มอย่างรวดเร็ว เธอวางมันลงแล้วใช้แขนเสื้อที่ยาวเช็ดปาก

“ไม่ดื้อแบบนี้ พี่มีรางวัลให้”

ชายหนุ่มบีบปากแล้วโยนเข้าปากคนขมวดคิ้ว ฟ้าใสคิดว่าเขาจะฆ่าเธอแต่เมื่อสัมผัสรสหวานจากก้อนน้ำตาลในปาก จึงรู้สึกดีขึ้นมา

“ขอบพระคุณเจ้าค่ะ”

เฟยหยางลุกขึ้นก่อนใช้มือเอนตัวเธอให้ลงนอน “พักผ่อนให้ร่างกายหายดีเสียก่อน พี่จะพาเจ้าไปเที่ยว”

มีการหลอกเด็กแถมท้ายก่อนกลับอีกด้วย หันมองเด็กหนุ่มแล้วถอนใจ เธอต้องทำตัวเป็นน้องที่ดีของเขาใช่ไหม หันมองไปด้านนอกมีมารดาของจื่อเวยเข้ามาแทน ก่อนนั่งเป็นเพื่อนเธอจนหลับ

คนที่หลับตาแต่ไม่ได้หลับจริง คิดทบทวนเรื่องราวทั้งหมดที่รู้เบื้องต้น คือ เด็กสาวนางนี้มีนาม ว่า จื่อเวย เป็นบุตรสาวคนเดียวของฮูหยินรองชื่อว่า เจียวฝาง มีพี่ชายและน้องสาวต่างมารดาที่เกิดจากฮูหยินใหญ่ในสกุลฟู่ฉา

บิดานางเป็นขุนนางขั้นที่ 5 ดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าเมืองเล็ก ณ เมืองซานซี

ฮูหยินใหญ่ที่มาจากสกุลฟู่ฉา มีนามว่า ฟางเหลียน

พี่ชายคนโตของบ้าน มีนามว่า เฟยหยาง อายุ 15 ขวบ

น้องสาวของเขา มีนาม เฟยเยี่ย อายุ 10 ขวบ เท่าเธอ

และด้วยมารดาเป็นฮูหยินที่เกิดมาจากตระกูลต่ำต้อยเรียกได้ว่าไม่สามารถเชิดหน้าชูตาได้ จึงถูกเขี่ยให้ไปอยู่ท้ายเรือนไกลจากผู้คน เรือนที่จื่อเวยทำไหม้ไปนั้นไม่อาจซ่อมแซมได้ ทำให้พวกเราสองแม่ลูกต้องขยับเข้ามาอยู่ใกล้กับเรือนเฟยหยางชั่วคราว และเพราะได้พี่ชายต่างแม่คนนี้ ทำให้เธอได้มีข้าวกินอิ่มทุกมือ ฉะนั้นเธอต้องทำดีกับถังข้าวสารให้มาก

หลังจากคิดเรื่อยเปื่อยจนหลับไปจริงๆ จนตื่นมาอีกรอบพี่ชายคนเดิมก็กลับมาทำหน้าที่ป้อนข้าวเธออีกแล้ว เรียกได้ว่าเธอจะเห็นหน้าเขาทุกสามเวลาอาหาร กว่าร่างกายนี้จะฟื้นตัวและลุกเดินได้คล่อง ก็เกือบเดือน

ตลอดหนึ่งเดือนเธอฝันถึงเรื่องราวในอดีตความทรงจำของจื่อเวย ทำให้เธอจดจำเรื่องราวและเรียนรู้การใช้ชีวิตแบบของนางเกือบหมด เหลือเพียงความไม่ชินจากภพก่อนเท่านั้นที่ทำให้บางครั้งเผลอพูดสิ่งที่ไม่ควรพูดออกไป

ในเมื่อกำไลหยกสีเขียวนั้นส่งเธอมาเพื่อทดสอบชีวิต จากที่เธอดูถูกอิทธิฤทธิ์เจ้าแม่กำไลหยก เธอก็ต้องพิสูจน์ให้เห็นว่าเธอสามารถอยู่ที่นี้ได้ และเมื่อเธอผ่านบททดสอบแล้ว บางที่เจ้าแม่กำไลหยกอาจพาเธอกลับไปก็ได้

เอาเถอะ คิดเสียว่ามาเดินเล่นต้าชิง

เมื่อเริ่มปลงกับชีวิต เธอก็มองผิวหนังที่เริ่มมีน้ำมีนวล เรียกได้ว่าแผนการขุนหมูของเขาสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี หันมองตอนนี้ชุดที่เธอเคยใส่เริ่มแน่นขึ้น

เฟยหยางมองจื่อเวยอย่างพอใจ ในที่สุดนางก็กลับมาเป็นเด็กน้อยแก้มแดงอย่างที่เคยเป็นอดีตแล้ว

“เสี่ยวชิงแต่งตัวคุณหนู วันนี้พี่จะพาเจ้าไปเดินเล่น”

พอได้ยินคำว่าเดินเล่น เธอก็ยิ้มแก้มบาน เรียกได้ยิ้มถึงรูหูเลยก็ว่าได้ จึงให้เสี่ยวชิงจับใส่ชุดกี่เพ้า ตัวแขนและปลายกระโปรงยาวถึงตาตุ่ม ยังมีรองเท้าผ้าปักลายสวมงามสวมใส่ ส่วนผมมัดเป็นจุกรัดแยกไว้สองข้าง พร้อมกับมีปอยผมปรกลงมาระบ่า ตรงผมจุกสองงข้างมีดอกไม้ประดับห้อยลงมา

ฟ้าใสมองตัวเองในกระจก เธอเหมือนอาหมวยน้อยแล้ว ว่าแล้วก็หมุนตัวเอาใจถังข้าวสารเธอหน่อย

เฟยหยางมองอย่างพอใจ จึงจับจูงมือน้องสาวออกจากเรือนเพื่อไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่าหลวนหลี ฮูหยินผู้เฒ่าท่านนี้ค่อนข้างเกลียดขี้หน้าพวกเราสองแม่ลูกมาก เรียกได้ว่า ไม่ต้องมาเคารพเพราะนางไม่ต้องการมากกว่า จึงเป็นความโชคดีที่เธอต้องไม่ต้องตื่นยามเหม่า (5.00-7.00น.) เพื่อมาเคารพฮูหยินผู้เฒ่า ตอนนี้เธอกำลังมองนางที่หน้านิ่ง หยิบถ้วยชาขึ้นมา ราวกับว่าคำขอของหลานชายคนโปรดที่จะพาเธอเที่ยวไม่ได้เข้าไปในหูสักประโยค

เบื่อความต่ำต้อยของร่างนี้ จนนั่งไปเกือบหนึ่งยาม ฮูหยินผู้เฒ่าจึงพยักหน้าอนุญาต ขาที่นั่งจนเหน็บกินทำให้ลุกไม่ขึ้น

เฟยหยางจึงเข้ามาพยุงแล้วกล่าวลาฮูหยินผู้เฒ่า คนเป็นใหญ่ในเรือนหลานหลีเงยหน้าด้วยแววตาไม่พอใจ หันไปทางบ่าวรับใช้ข้างตัว

“เฟยเยี่ยไปไหน”

ลู่เจียสาวใช้คนสนิทตอบนายหญิง “ไปงานเลี้ยงน้ำชา สกุลฝางตั้งแต่เช้าเจ้าค่ะ”

เสียงหลานหลีถอนใจ หลานสาวคนนั้นก็ไม่มีความเคารพให้นางเช่นกัน หลานชายอีกคนก็เริ่มไม่เห็นหัวหงอกหัวดำ บอกเตือนชายหนุ่มไปหลายรอบให้อยู่ห่างจากจื่อเวยอย่าได้สนิทสนมเกินงาม อย่างไรก็ตามแม้จะเป็นน้องต่างแม่ แต่ก็ไม่ใช่เชื้อสกุลฟู่ฉา เด็กที่ติดท้องสามีเก่ามา นางไม่นับเป็นหลานด้วยซ้ำ แค่ให้อยู่อาศัยในเรือนก็มากเกินพอแล้ว หากไม่เห็นแก่บุตรชายของตน นางก็จะกำจัดเสี้ยนหนามนี้ไปนานแล้ว