อัตวินิบาตกรรม
‘ป๊าครับ ตอนนี้น่ะ ป๊าอยู่ที่ไหนเหรอครับ?
คงอยู่สุขสบายดีสินะครับ คนอย่างป๊าน่ะคงได้ไปอยู่ในที่ดี ๆ แบบนั้นแน่ ๆ
หากป๊าได้ยินเสียงของผม… ก็ขออย่าโกรธกันเลยนะครับ…
ผมเหนื่อยผมท้อเหลือเกินครับป๊า
ชีวิตน่ะแท้จริงแล้วคืออะไรกัน?
ทำไมการมีชีวิตอยู่ถึงได้หนักหนาถึงเพียงนี้ล่ะ
สิ่งที่เราต้องแบกรับไว้ สุดท้ายแล้วทุกอย่างก็ต้องสูญสลายมลายไปไม่ใช่เหรอ
หากเป็นเช่นนั้นแล้ว ทำไมคนเราถึงต้องดิ้นรนกันขนาดนั้น
เพื่อให้ได้สิ่งที่ตนเองต้องการ มนุษย์น่ะทำได้แม้กระทั่งคดโกง เอารัดเอาเปรียบ ทำร้ายผู้อื่นเพื่อแย่งชิงมันมา
เชียวหรือครับ
บางที... โลกนี้อาจไม่มีที่พอสำหรับคนอ่อนแออย่างผมอีกแล้วก็เป็นได้
ถ้าป๊าได้ฟังอยู่
ผมขอโทษนะครับ ที่ทำให้ป๊าต้องผิดหวัง
ขอโทษด้วยจริงๆ
‘ไม่รู้ว่าอีกนานไหมกว่าที่จะมีคนมาพบศพผม’
ผมอดไม่ได้ที่จะกังวลใจขึ้นมานิด ๆ ในขณะที่ตัดสินใจเอาพวกมันทั้งหมดยัดเข้าปากไปเต็มกำมือจนแคปซูลเม็ดเล็ก ๆ สีชมพูขาวบางส่วนร่วงพรูลงมาจากง่ามนิ้วที่ยังคงสั่นกึก ๆ กระจัดกระจายอยู่บนฟูกเตียงนอนแข็ง ๆ ในห้องเช่าราคาถูก ภายใต้แสงสลัวรางจากโคมไฟรูปสุนัขพิทบลูเทอเรียสีขาวโพลนดวงน้อย ๆ ซึ่งวางอยู่บนโต๊ะวางของสีดำสนิทที่ตั้งอยู่ข้าง ๆ หัวเตียงโครงเหล็กสีเดียวกันขนาดหกฟุตส่องให้พอมองเห็น
จดหมายลาตายซึ่งเป็นเพียงกระดาษสมุดแบบมีเส้นขนาดครึ่งหน้าเอสี่ที่ผมบรรจงเขียนข้อความสั่งเสียแค่เพียงไม่กี่คำถูกสอดไว้อยู่ใต้ฝ่าเท้าอันหนักอึ้งของมัน ไม่มีทางหล่นหายหรือคนที่เข้ามาพบศพผมเป็นคนแรกจะมองเลยผ่าน ถัดออกไปไม่กี่เมตร ม่านสีเขียวอ่อนลายกราฟิกรูปต้นหญ้าสีเข้มตรงหน้าต่างบานเกล็ดยังคงทำหน้าที่เป็นกำแพงสายตาจากผู้คนภายนอกได้เป็นอย่างดี ก่อนหน้านี้แม้จะผุดลุกผุดนั่งชั่งใจอยู่เป็นนาน ทว่าพอถึงเวลาลงมือทำจริง ๆ แล้ว ทุกอย่างก็ดูง่ายดายไปเสียหมด ยกเว้นแต่ตอนที่…
‘ไอ้ยานี่แม่งขมชิบเป๋ง’ ผมบริภาษในใจเมื่อเม็ดยาจำนวนมากเคลื่อนผ่านปลายประสาท ลิ้นสัมผัสความกระด้างของมันที่ไหลพรวดพราดเข้ามา รับรสฝืดเฝื่อน และรู้สึกจุกแน่นราวกับกำลังกลืนกินเม็ดพลาสติกแข็ง ๆ ช่างเป็นรสชาติที่ไม่น่าอภิรมย์เอาเสียเลย… ให้ตายเถอะ
‘รู้งี้ค่อยๆ กินทีละเม็ดดีกว่า’ ความคิดนั้นผุดพลุ่งขึ้นมาระหว่างที่ผมใช้มือซ้ายปัดยาบางเม็ดที่ติดเหนอะข้าง ๆ ปากให้กระเด็นไปอย่างหัวเสีย
เฮ้อ… อยากจะตายสบาย ๆ ทั้งทีก็ไม่ได้
บรรยากาศย่ำค่ำยามที่ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดายชวนให้รู้สึกอ้างว้างและเปลี่ยวเหงา ความมืดหม่นรายล้อมผมไว้เหมือนดั่งความทุกข์รอบด้านที่บีบคั้นให้ต้องตัดสินใจทำแบบนี้ เพียงเพื่อปรารถนาให้ตนเองนั้นได้หลุดพ้นไปจากสภาพอันน่าสมเพชเวทนาที่เป็นอยู่ หลีกเร้นไปให้ไกลแสนไกลจากไอ้พวกมนุษย์บ้าบอ เห็นแก่ตัว และเข้าสู่ห้วงนิทรารมย์อันสุขสงบไปชั่วนิจนิรันดร์… โดยไม่มีวันตื่นขึ้นมาอีก
จากไปอย่างสันโดษ และสงบ… นี่ล่ะคือสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว
ผมซึ่งกำลังนั่งค้อมหลังตัวสั่นเทิ้มสำทับกับตนเองพร้อมกับปลดปล่อยหยาดน้ำใส ๆ ให้ไหลรินจากปลายหางตาเป็นทางยาวเปรอะเปื้อนแก้มทั้งสองข้าง แทบลืมหายใจไปเลยระหว่างเฝ้ารอคอยนาทีมรณะให้มาเยือนเร็ว ๆ อย่างใจจดใจจ่อ ริมฝีปากเล็กบางแห้งผากและสั่นหนักไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันด้วยความตื่นเต้น ขลาดกลัวที่มีมากขึ้นและมากขึ้นในทุก ๆ วินาที ช่วงท้องซึ่งมีชั้นพุงน้อย ๆ สีน้ำผึ้งใต้เสื้อยืดแขนสั้นธรรมดาสีขาวหม่นเบาโหวง ทว่าหัวใจดวงนี้กลับเต้นระรัวเร็วดังตึกตัก ตึกตัก ราวกับจะหลุดผลัวะออกมาจากอกเสียให้ได้ระหว่างลงมือกระทำอัตวินิบาตกรรมตนเอง
ความขมปร่าที่แล่นพล่านในลำคอทำให้ผมต้องรีบกระดกแก้วน้ำใส ๆ ทรงกระบอกขึ้นดื่มตามอั้ก ๆ รวดเดียวหมด ก่อนจะวางมันไว้บนพื้นที่ปูด้วยกระเบื้องสีขาวอันเยียบเย็นข้างฝ่าเท้า แล้วจึงหุบปากพยายามกล้ำกลืนเม็ดแคปซูลที่บัดนี้เป็นเสมือนยาพิษเหล่านั้นเข้าไป
“เอื้อก…”
และสุดท้ายผมก็กระเดือกมันลงไปได้สำเร็จ ก่อนที่ลมในท้องจะตีสวนขึ้นมาทำให้เกิดอาการพะอืดพะอมคลื่นไส้
“อุแหวะ… แหวะ” ผมอ้าปากแผ่ลิ้นอยากจะขย้อน ไม่รู้ว่าตัวเองทำหน้าตาบูดเบี้ยวเหยเกแค่ไหนเมื่อได้กลิ่นเหม็น ๆ ของตัวยาโชยออกมาจากช่องปากสูดเข้ารูจมูกเสียเต็มรัก อ้วกแทบพุ่ง แต่ก็กัดฟันฝืนทนกลืนมวลน้ำลายและเศษอาเจียนลงไปอย่างไม่ยอมแพ้
‘กูอยากตาย กูอยากตาย กูอยากตาย’ ความคิดเหล่านี้วนเวียนซ้ำ ๆ ในห้วงคำนึง กระตุ้นให้ผมยังคงเดินหน้าต่อ ณ ตอนนี้ผมพุ่งเป้าไปสู่สัมปรายภพแต่เพียงสถานเดียวเท่านั้น
หลังจากนั้นจึงค่อย ๆ เอนตัวนอนลงเอาศีรษะที่ไร้เรี่ยวแรงพิงพนักหัวเตียงโครงเหล็กสีดำ พอได้ตระหนักถึงความตายแล้วก็รู้สึกหนาว ๆ ร้อน ๆ จนต้องดึงผ้าห่มผืนบางสีน้ำเงินเข้มที่กองยับยู่ยี่อยู่ตรงฝ่าเท้าขึ้นมาห่มคลุม ใบพัดยาวใหญ่ของพัดลมสีเขียวตองอ่อนรุ่นเก่าบนเพดานตรงกลางห้องยังคงหมุนเอื่อยเฉื่อยส่งเสียงดังครึด ครึด ปานใกล้ตายไม่ต่างกัน ผนังสีขาวมอ ๆ ด้านตรงข้ามติดโปสเตอร์รูปสาว ๆ บีเอ็นเคสี่สิบแปด (BNK48) ผิวขาวหยวกทั้งสิบหกอนงค์โพสท่าเก๋ไก๋อยู่ในชุดแฟชั่นแสนสดใส เรียงต่อกันสามแผ่น
ซึ่งตนเองเคยนึกชื่นชมหน้าตาจิ้มลิ้มพริ้มเพราน่ารักนิด ๆ เซ็กซี่หน่อย ๆ ของพวกเธออยู่เป็นนิจ แต่ทว่าพักหลังมานี้รอยยิ้มหวานซึ้งเหล่านั้นกลับไม่ชวนให้จิตใจของผมสดชื่นตื่นตัวเหมือนเช่นเคย ถัดไปนั้นคือโปสเตอร์ภาพยนตร์เรื่องโปรด ฅนเหล็กภาคสองและสาม ซึ่งมีรูปอาโนลด์ ชวาลเซเนกเกอร์ในมาดสุดเท่เห็นเด่นเป็นสง่าเหนือพื้นหลังสีทึบทึม… นี่ล่ะนักแสดงยอดฝีมือขวัญใจผม
ส่วนผนังด้านหลังเหนือหัวเตียงเป็นโปสเตอร์ภาพยนตร์แผ่นใหญ่กว่าเรื่องแบทแมนบีกินส์ซึ่งเป็นรูปมนุษย์ค้างคาวกำลังอุ้มแรเชล ดอวส์ นางเอกของภาคนั้นไว้ระดับอก โดยมีดวงไฟและฝูงค้างคาวบินโผเป็นแนวโค้งทางฉากหลัง
‘ลาก่อนนะครับคุณอาอาโนลด์… ลาก่อนนะน้อง ๆ บีเอ็นเค แล้วก็แบทแมน’ ผมบอกลาพวกเขาด้วยอารมณ์ที่เศร้าหมอง แล้วดำดิ่งสู่ความทุกข์ตรม ก่อนจะปลดปล่อยเขื่อนน้ำตาทะลักทะลายออกมาเป็นครั้งสุดท้าย
ปัญหาร้อยแปดพันประการที่ประดังประเดเข้ามาให้คิด คิด คิด จนหัวแทบระเบิด ทำให้ผมเหนื่อยล้าเหลือเกิน หมดแรงที่จะก้าวเดิน และอ่อนแอจนไม่อยากมีลมหายใจไว้สำหรับวันพรุ่งนี้อีกต่อไปแล้ว