ฮูหยินแม่ทัพกบฏ
รักโรแมนติก
ฮูหยินแม่ทัพกบฏ
รักโรแมนติก
wenrou
แม้ใต้หล้าจะตราหน้าว่าท่านเป็นกบฏ ข้าก็จะขอติดตามท่านไป...
  • 30 ตอน
  • 1,422
นิยายโดย
  • 29 คนติดตาม
บทนำ

เสียงหวานใสดังกังวานอยู่เบื้องหลังทำให้เจ้าของร่างหนาใหญ่ที่กำลังนั่งตกปลาบนตลิ่งของแม่น้ำสายน้อยหันมามองแล้วยิ้มอย่างอ่อนโยน

“จวินเอ๋อร์...เจ้าไม่ไปช่วยเฒ่าโอสถเตรียมยาหรือ?”

ดรุณีนางวัยไม่เกินสิบหกหนาวส่ายหน้ายิ้มๆ ก่อนจะเดินถือโถใส่อาหารมานั่งลงข้างๆชายกลางคน ตอบด้วยรอยยิ้มสดใสว่า

“เฒ่าโอสถออกเดินทางไปตรวจไข้ชาวบ้านในหมู่บ้านห่างไกลออกไปอีกแล้วเจ้าค่ะท่านพ่อ วันนี้ข้าเลยทำขนมนึ่งมาให้ท่านพ่อกิน อีกอย่างข้าตั้งใจจะดูท่านพ่อตกปลาด้วยเจ้าค่ะ”

“ดูพ่อตกปลาจะสนุกอะไรกัน มิสู้เจ้ามาเป็นคนตกมิดีกว่าหรือ แล้วปล่อยให้พ่อกินขนมดูเจ้าตกปลาแทน”

บุตรสาวตัวน้อยหัวเราะคิกเบาๆ ก่อนจะพยักหน้ารับ “ได้เจ้าค่ะ ลูกจะตกปลาเอง ขอท่านพ่อกินขนมให้อิ่มและอร่อยนะเจ้าคะ”

“ฝีมือทำอาหารของจวินเอ๋อร์อร่อยเท่ารสมือแม่ของเจ้า พ่อจะไม่อร่อยได้อย่างไร?”

ได้ยินคนเป็นพ่อกล่าวเช่นนั้น ใบหน้าของหวงจื่อจวินก็สลดลงเล็กน้อย “ถ้าท่านแม่ยังอยู่ ท่านพ่อคงมีความสุขมากกว่านี้”

หวงหมิงลูบศีรษะลูกสาวตัวน้อยหลังวางคันเบ็ดลงกับพื้นดิน เอ่ยปลอบใจเบาๆว่า

“ตอนนี้พ่อก็มีความสุขดี แม่เจ้าที่อยู่บนสวรรค์คงดีใจที่ตลอดห้าปีนี้พ่อสามารถเลี้ยงเจ้าจนเติบใหญ่กลายเป็นสาวน้อยที่เพียบพร้อมเหมือนนาง”

“ข้าเพียบพร้อมที่ไหนกัน ท่านแม่น่ะเรียบร้อยอ่อนหวาน แต่ลูกออกจะกระโดกกระเดรก สงสัยจะติดนิสัยของเฒ่าโอสถมา” หวงจื่อจวินพยายามเปลี่ยนเรื่องไม่ให้นำพาความโศกเศร้ามาสู่บิดา

“เฮอะ” หวงหมิงแค่นเสียงขึ้นจมูกราวกับนึกขันเสียเต็มประดา “เจ้าจะไปเอานิสัยจากเฒ่าโอสถมาได้อย่างไร เขามิใช่พ่อของเจ้าเสียหน่อย ถ้าจะพูดให้ถูก เป็นพ่อเองที่เลี้ยงเจ้ามาเหมือนลิงเหมือนค่างตามนิสัยพรานป่า”

“ท่านพ่ออ่ะ ข้าเหมือนลิงเหมือนค่างที่ตรงไหนกัน ข้าออกจะน่ารักถึงเพียงนี้” ดรุณีน้อยใช้สองมือกอบกุมแก้มนุ่มแล้วกระพือขนตาไปมาอย่างน่ารัก

หวงหมิงจิ้มนิ้วใส่หน้าผากบุตรี พลางหัวเราะในลำคอเบาๆ

“เจ้าเด็กหลงตัวเอง ชาตินี้จะหาสามีมาดูแลเจ้าได้หรือไม่ พ่อชักเป็นห่วงเสียแล้วซี”

“เฮอะ!” หวงจื่อจวินเชิดจมูกขึ้นฟ้า “สตรีเช่นลูกไม่จำเป็นต้องให้ชายใดมาดูแลเจ้าค่ะ ข้ามีวิชาหมอติดตัว เลี้ยงตัวเองได้สบาย”

หวงหมิงเห็นบุตรีมั่นใจในตัวเองถึงเพียงนี้ก็รู้สึกอ่อนระอาในใจอยู่บางส่วน แต่ถึงกระนั้น...เขาก็รู้ดีว่านางทำได้อย่างที่นางพูดจริงๆ

หวงจื่อจวินร่ำเรียนวิชาแพทย์จนแตกฉานจากเฒ่าโอสถซึ่งเป็นสหายสนิทของเขามาตั้งแต่ห้าขวบ นางติดตามเฒ่าโอสถไปช่วยเหลือชาวบ้านที่บาดเจ็บล้มป่วยอยู่หลายครั้งจนมีฝีมือการรักษาที่ไม่ด้อยไปกว่าเฒ่าโอสถที่มองนางเป็นดั่งลูกหลานมากกว่าศิษย์ทั่วไป

น่าเสียดาย...ตอนที่นางตามเฒ่าโอสถไปยังหมู่บ้านทางเหนือห้าวัน มารดาของนางเข้าไปหาของป่าแล้วหายตัวไป ก่อนหวงหมิงจะพบศพของนางถูกสุนัขจิ้งจอกกัดกินจนไม่เหลือเค้าเดิม หลังจากหวงจื่อจวินกลับมาทราบข่าวการตายของมารดา นางก็ไม่เคยตามเฒ่าโอสถออกไปช่วยเหลือชาวบ้านอีกเลย นางตั้งใจจะอยู่ดูแลบิดาที่ไม่ได้ความเช่นเขาให้ปลอดภัย

“ถ้าเจ้าพูดมาถึงขนาดนี้ ก็ลองตกปลาตัวใหญ่ให้ได้สักสองตัวสิ แล้วพ่อจะเชื่อว่าเจ้าสามารถเลี้ยงดูตัวเองได้”

เป็นเรื่องแปลกที่หวงจื่อจวินมีฝีมือทางการแพทย์เข้าขั้นลึกล้ำ แต่กับเรื่องเข้าป่าล่าสัตว์ตามวิสัยของลูกสาวนายพรานอย่างเขา นางกลับไร้ฝีมือโดยสิ้นเชิง

หวงจื่อจวินได้ยินบิดาท้าทายเช่นนั้นก็ถึงกับทำหน้ามุ่ย “ท่านพ่อ...ปลาตัวใหญ่ข้าเคยตกได้ที่ไหนกันเล่า แต่ถ้าตัวเล็กตัวน้อยล่ะก็ข้าไม่เคยพลาด”

“ฮะฮ่าๆ เอาเถอะๆ หากพ่อไม่อยู่ เจ้าก็อาศัยวิชาแพทย์แลกข้าวแลกเนื้อมาประทังชีวิตได้ เช่นนั้นพ่อก็หมดห่วง”

“ท่านพ่อ” หวงจื่อจวินเอ็ดขึ้นมา “เหตุใดท่านจึงชอบพูดเป็นลางอยู่เรื่อยเลย ท่านพ่อต้องอยู่กับข้าไปจนท่านแก่เฒ่าผมหงอกขาวสิเจ้าคะ”

“รู้แล้ว รู้แล้วน่า บ่นเก่งเหมือนปากอีกาจริงๆ”

“เช่นนั้นท่านพ่อก็กินขนมเถอะ ขืนช้ากว่านี้ขนมจะเย็นหมด ไม่อร่อยนะเจ้าคะ”

หวงหมิงจึงยื่นส่งคันเบ็ดให้ลูกสาวถือไว้ ส่วนตนก็นั่งเอนหลังพิงต้นไม้ใหญ่ เปิดโถอาหารชั้นเดียว หยิบขนมนึ่งมากัดเข้าปากลิ้มรสชาติอันนุ่มลื่นและหอมหวานอย่างเบิกบานใจ

เพื่อไม่ให้ปลาตื่นตกใจต่อเสียงสนทนา สองพ่อลูกจึงนั่งกันเงียบๆ ฟังเสียงลมหอบใบไม้ปลิวว่อนไปรอบป่า บางทีก็ได้ยินเสียงกระรอกวิ่งไปมาบนกิ่งไม้ใหญ่

ทันใดนั้น...

พื้นดินเกิดแรงสะเทือนเล็กน้อย หวงหมิงกับหวงจื่อจวินรีบพากันลุกขึ้นยืน ต่างทอดสายตามองไปยังทิศตะวันออกที่ซึ่งเห็นถนนหลวงตัดผ่านป่าแห่งนี้เพื่ออ้อมภูเขาใหญ่ลูกหนึ่ง เป็นถนนที่มุ่งหน้าไปยังเมืองหลวง

กุบกับ กุบกับ กุบกับ

ม้าสีดำตัวใหญ่ขนมันปลาบตัวหนึ่งวิ่งตัดถนนหลวงมุ่งเข้ามาในป่าใกล้จุดที่สองพ่อลูกยืนอยู่ ก่อนมันจะวิ่งช้าลงจนกลายเป็นเหยาะย่าง แล้วมาหยุดลงเบื้องหน้าหวงหมิงกับหวงจื่อจวิน

สองพ่อลูกขมวดคิ้วนิ่วหน้าเมื่อเห็นสิ่งที่อยู่บนหลังม้าตัวใหญ่พวงพีตัวนี้

ร่างในชุดเกราะเงินของทหารนายหนึ่งนอนหมอบฟุบอยู่บนหลังม้า โดยสองแขนของเขายังโอบรัดรอบคอของมันเอาไว้แน่น

หวงหมิงตาไวกว่าบุตรี เขาร้องดังเอะอะขึ้นมาทันทีว่า “จวินเอ๋อร์...ทหารท่านนี้ได้รับบาดเจ็บ เจ้าช่วยพ่อยกเขาลงมา พ่อจะแบกเขาไปรักษาตัวในบ้านเรา”

“จะ...เจ้าค่ะ เจ้าค่ะ”

หวงจื่อจวินรีบช่วยบิดานำร่างหนาใหญ่ของทหารนายนั้นลงจากหลังม้า นางจึงเห็นปลายธนูดอกหนึ่งปักทะลุชุดเกราะทางด้านหลัง ยังดีที่มันไม่ทะลุออกมาทางหน้าอก หาไม่...ต่อให้เป็นหมอเทวดาที่เก่งพอๆกับเทพเซียนก็มิอาจยื้อชีวิตเอาไว้ได้

หวงหมิงแม้ไร้วรยุทธ์ แต่เขาเป็นคนมีพละกำลังมากกว่าคนทั่วไป จึงสามารถแบกร่างหนาหนักวิ่งเร็วรี่ตรงกลับไปยังกระท่อมหลังน้อยที่อยู่ห่างออกไปเพียงสิบมี่[1]ได้อย่างว่องไว

หวงจื่อจวินเองก็ไม่รอช้า ทันทีที่บิดาวางร่างของทหารที่ได้รับบาดเจ็บลงบนเตียงเตา นางก็ใช้ให้บิดาไปต้มน้ำร้อน ส่วนตนก็ทำการตรวจสอบจุดที่ลูกธนูปักคาแผ่นหลังของทหารนายนี้ว่ากระทบอวัยวะส่วนสำคัญส่วนใดในร่างกายหรือไม่ แล้วนางก็พบว่ามันเกือบจะทิ่มเข้าไปถึงจุดที่เป็นขั้วปอด

หวงจื่อจวินต้องสูดลมหายใจลึก ก่อนจะใช้ความระมัดระวังอย่างยิ่งยวดในการดึงธนูดอกนั้นออกจากร่างของนายทหารผู้นี้ ทันทีที่หัวธนูถูกดึงออกมาเลือดก็พุ่งกระเซ็นใส่ใบหน้านวลเนียน พร้อมกับที่ร่างของนายทหารกระตุกอย่างแรงครั้งหนึ่ง แต่ไม่มีทีท่าว่าเขาจะรู้สึกตัว

หวงหมิงนำอ่างน้ำร้อนเข้ามาในเวลาอันรวดเร็ว หวงจื่อจวินรีบทำความสะอาดบาดแผลด้วยผ้าชุบน้ำร้อน ก่อนจะใส่ยาสมานแผลกับยาต้านการอักเสบแล้วพันแผลด้วยผ้าฝ้ายขาวเนื้อละเอียด

“คืนนี้เขาจะมีไข้ขึ้นสูง ข้ากับท่านพ่อคงต้องผลัดกันเปลี่ยนเวรคอยลดไข้ให้เขาเจ้าค่ะ”

“ได้...เจ้าไม่ต้องห่วง เจ้าไปพักผ่อนก่อนเถอะ เดี๋ยวพ่อเฝ้าเขาเอง กว่าเจ้าจะทำแผลเสร็จก็ตั้งครึ่งชั่วยาม คงเหนื่อยมากแล้ว”

แต่หวงจื่อจวินส่ายหน้ายิ้มๆ “ไม่เจ้าค่ะ เดี๋ยวลูกจะเข้าครัวทำอาหารเย็นเตรียมไว้ให้ท่านพ่อแล้วลูกค่อยไปพัก พอถึงยามซวีสี่เค่อ (21.00น.)ท่านพ่อค่อยมาเรียกลูกให้มาดูแลทหารผู้นี้ เพราะถึงอย่างไร...มีลูกเท่านั้นที่รู้ว่าจะช่วยรักษาบาดแผลและลดไข้ของเขาให้ดีได้อย่างไร”

“อืมๆ เช่นนั้นเจ้าก็ไม่ต้องยุ่งยาก ทำอาหารง่ายๆก็พอ น่าเสียดายที่วันนี้ไม่ได้ปลาสักตัว”

“ค่อยให้ทหารผู้นี้ใช้ปลาคืนเราก็ได้นี่เจ้าคะ” หวงจื่อจวินพูดกลั้วหัวเราะ ก่อนจะเดินเข้าไปในครัว หวงหมิงคิดตามแล้วจึงหัวเราะออกมาเบาๆ

ตกดึก คนป่วยมีไข้ขึ้นสูงจริงๆถึงขนาดที่เหงื่อเม็ดโป้งผุดขึ้นเต็มหน้าและลำตัวจนชุดที่หวงหมิงเปลี่ยนให้ถึงกับเปียกชื้น หวงจื่อจวินราวกับมีตาหยั่งรู้ ไม่ต้องรอให้บิดามาเรียก นางก็ตื่นจากการพักผ่อนมาต้มยาลดไข้ แล้วนำมาป้อนคนเจ็บ ส่วนบิดาก็ออกไปนอกบ้าน หมายจะนำม้าคู่ใจของนายทหารผู้นี้ไปผูกไว้ใกล้กับเล้าเป็ดเล้าไก่ หวงหมิงตั้งใจจะหาหญ้าหาน้ำให้มันดื่มด้วย เพราะรู้ว่าตั้งแต่ม้าแสนรู้ตัวนี้พาเจ้านายของมันมาพบพวกเขาสองพ่อลูก ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องมันเลย แม้จะตกดึกถึงขนาดสายลมเริ่มเย็นจัด หวงหมิงก็ยังเดินถอนหญ้าที่ริมตลิ่งแม่น้ำแล้วกลับมาป้อนให้ม้าแสนรู้ มิคิดจะพักผ่อนอย่างที่ลูกสาวกล่าวไว้

เพราะถึงอย่างไร...เขาก็มิกล้าปล่อยให้ตัวเองหลับ แล้วทิ้งให้บุตรสาวต้องดูแลชายแปลกหน้าตามลำพัง

“ค้น...ค้นให้ทั่ว หาตัวมันให้พบ อย่าปล่อยให้มันนำสาสน์ยอมจำนนกลับไปส่งถึงมือฝ่าบาทได้!” เสียงร้องตะโกนโหวกเหวกดังขึ้นอยู่เบื้องหน้า หวงหมิงสะดุ้งหันไปมองตามที่มาของเสียงจึงเห็นคบเพลิงจำนวนมากกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้

หวงหมิงไม่ต้องตรองให้นาน เขาก็รู้ว่าตนได้เก็บเผือกร้อนไว้กับมือตนและลูกสาวเสียแล้ว แต่หวงหมิงรู้ดีไปกว่านั้นเมื่อได้ยินในสิ่งที่คนกลุ่มนั้นพูดถึง บ่งบอกให้รู้ว่าพวกมันคือฝ่ายกบฏ

หลายปีมานี้...แคว้นลี่กับแคว้นเหลียงทำศึกกันมาช้านาน ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ แต่เพิ่งมีสองปีนี้ที่แม่ทัพใหญ่เซี่ยสือสามารถตีแคว้นเหลียงได้เป็นผลสำเร็จ

ดูเหมือนว่าแคว้นเหลียงจะยอมมอบสาส์นยอมจำนนแล้ว แต่ขุนนางใหญ่บางคนของราชสำนักต้าลี่คงไม่ต้องการให้สาส์นนี้ตกไปอยู่ในมือลี่ตี้ หมายจะยึดครองไว้เองแล้วสับเปลี่ยนสาส์นเพื่อการณ์ใหญ่บางอย่างเป็นแน่แท้

หวงหมิงอดีตเคยเป็นทหารช่างที่ลาออกจากกองทัพมาใช้ชีวิตอย่างสงบสุขกับภรรยาคนงามโดยอาศัยวิชาความรู้เกี่ยวกับการเข้าป่าล่าสัตว์ตามที่บรรพชนถ่ายทอดมาหล่อเลี้ยงครอบครัวจึงพอจะรู้เส้นสนกลในของพวกขุนนางบุ๋นบู๊อยู่บ้าง ทหารช่างนั้นไม่จำเป็นต้องขี่ม้าฝึกยิงธนูร่ำเรียนเพลงกระบี่ มีหน้าที่ก่อสร้างสะพานหรือต่อเติมป้อมค่าย ขุดขูคลอง ผลิตอาวุธต่อเรือตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา ดังนั้นหวงหมิงจึงไร้ซึ่งวรยุทธ์ใดๆ

“นั่น..นั่น...มีกระท่อมอยู่ พวกเราไปตรวจค้นกระท่อมหลังนั้น มันผู้นั้นอาจหลบซ่อนตัวอยู่ก็เป็นได้”

แย่แล้ว!

หวงหมิงตื่นตระหนกจนเกือบทำสติพลัดหายไป เขารีบอาศัยความมืดหลบเร้นตัวตนวิ่งกลับไปยังบ้านของตนโดยเส้นทางลัด

พอก้าวเข้ามาในบ้าน เห็นบุตรีกำลังใช้ผ้าเช็ดใบหน้ากับลำคอของคนเจ็บเพื่อลดไข้ก็ร้องบอกเสียงตื่นๆว่า

“จวินเอ๋อร์...รีบพาทหารคนนี้หนีไปกับพ่อเถอะ!”

“เกิดเรื่องอะไรขึ้นเจ้าคะ?” หวงจื่อจวินมองบิดาด้วยสายตาตกตะลึง ไม่เคยเห็นบิดามีสีหน้าหวาดหวั่นเช่นนี้มาก่อน

หวงหมิงจึงรีบอธิบายอย่างรวบรัดตัดตอน หวงจื่อจวินใจหายวาบ ก่อนจะร้องเร่งว่า

“ท่านพ่อรีบแบกเขา ลูกจะพาท่านพ่อกับเขาไปซ่อนตัวยังที่ที่หนึ่งซึ่งลูกรู้ว่าปลอดภัยมากที่สุดเจ้าค่ะ”

“ได้ๆ!” หวงหมิงมิอาจพะว้าพะวัง เพราะเวลากระชั้นชิดเข้ามาแล้ว หวงจื่อจวินรีบยกร่างหนาที่อ่อนปวกเปียกพาดวางบนหลังของบิดาที่นั่งริมเตียง แต่ทว่า...

ปึง!

ประตูกระท่อมถูกถีบเปิดออกจนชนผนังกำแพงอย่างแรงถึงกับทำให้บานประตูโยกคลอนเอียงกระเทเร่

“มันอยู่นั่น!” ทหารในชุดเกราะหนังชี้ดาบใส่หน้าหวงหมิงกับหวงจื่อจวิน แต่สายตาของมันจับจ้องแต่ร่างที่หมดสติอยู่บนแผ่นหลังของหวงหมิง

“จัดการฆ่าให้หมด!!!” ทหารนายนี้ร้องสั่งเสียงกร้าว ก่อนทหารหลายสิบนายจะกรูเข้ามาในกระท่อม หวงหมิงรีบสลัดร่างหมดสติออกจากตัวแล้วปราดเข้าไปคว้าขวานที่วางพิงกับผนัง ก่อนรับมือต่อการจู่โจมของเหล่าทหารชั้นผู้น้อยเหล่านี้อย่างเอาเป็นเอาตาย

ทหารสี่นายฟาดดาบลงมาใส่ร่างหวงหมิงที่ใช้คมขวานยันรับไว้ ก่อนจะผลักดันพวกมันออกจากกระท่อมแล้วหันไปบอกบุตรสาวว่า

“จวินเอ๋อร์...รีบพาเขาหนีไป!”

หวงจื่อจวินใจหนึ่งก็ห่วงบิดา อีกใจก็มิอาจทอดทิ้งคนป่วย สุดท้ายนางตัดสินใจวิ่งเข้าไปในครัว แล้วคว้ามีดหั่นผักออกมาเพื่อจะช่วยบิดาต่อกรกับทหารกบฏอีกแรง

หวงหมิงพอเห็นบุตรสาววิ่งเข้ามาต่อสู้กับทหารนายหนึ่งที่พุ่งผ่านร่างตนเข้าไปในกระท่อมสำเร็จ ก็บังเกิดความตกใจจนขวัญแทบบิน รีบหันด้ามขวานฟาดใส่แผ่นหลังของทหารผู้นั้นจนมันล้มลง จนตัวเองต้องรับคมดาบที่เฉือนหลังลงมาเป็นทางยาวจนสะดุ้งเฮือกสุดตัวด้วยความเจ็บปวดเหลือคณา

“กรี๊ด...ท่านพ่อ!!!” หวงจื่อจวินเห็นบิดาโดนทำร้ายก็ตกใจจนขวัญหนีดีฟ่อ ยามนี้นางคิดจะเผชิญกับความตายด้วยความเต็มใจแล้วหากได้ตายเคียงข้างบิดา จึงหลับตาถือมีดหั่นผักพุ่งเข้าใส่ทหารกบฏเหล่านั้นฟาดฟันไปมาโดยมิรู้เลยว่ามีดหั่นผักของนางมิได้ก่อความระคายผิวแก่ทหารกบฏคนใดแม้แต่น้อย

“จวินเอ๋อร์...ระวัง!!!” เสียงร้องด้วยความตื่นตระหนกของบิดาดังเข้าหู หวงจื่อจวินลืมตาพรึ่บ ก่อนจะต้องตกใจจนหน้าซีดเผือดเมื่อเห็นบิดายืนบังร่างนาง แต่มีดาบเล่มหนึ่งแทงทะลุท้องออกมาจนเกือบทิ่มท้องของนางเข้าไปด้วย

“จวิน...จวินเอ๋อร์” หวงหมิงเรียกบุตรสาวด้วยน้ำเสียงที่ฟังไม่ได้ศัพท์เพราะเลือดลามไหลออกมาจากปากเป็นฟองขนาดใหญ่

ทันใดนั้น...ทหารกบฏนายหนึ่งเงื้อดาบขึ้นหมายจะฟันคอของหวงจื่อจวิน แต่กับมีอ่างน้ำร้อนใบเล็กถูกเขวี้ยงกระแทกใส่หน้าผากมันเต็มรัก

ก่อนเงาร่างสายหนึ่งจะลอยผ่านร่างของหวงหมิงกับหวงจื่อจวินเพื่อทยานเตะก้านคอของทหารกบฏนายนั้น จนร่างของมันลอยละลิ่วไปชนเข้ากับร่างเพื่อนทหารอีกสามสี่คนล้มลงนอนกองกับพื้น

ขณะที่หวงจื่อจวินยังเสียขวัญ สติยังไม่กลับคืนมา มีดหั่นผักในมือนางกับขวานคมกริบของบิดาก็ถูกชายผู้หนึ่งแย่งชิงไป

ชั่วพริบตาเดียว...ทหารกบฏนับสิบกว่าคนถูกปาดคอ ถูกบั่นศีรษะด้วยคมขวานและคมมีดหั่นผักรวดเร็วดุจสายฟ้าฟาด ทิ้งร่างกับหยาดโลหิตของมันไหลเจิ่งนองพื้นกระท่อม

ความเงียบสงบกลับคืนมาอีกครั้ง หวงจื่อจวินหลุดจากภวังค์เมื่อผู้ช่วยชีวิตนั่งคุกเข่าลงข้างหนึ่งเบื้องหน้านางที่กำลังกอดประคองบิดาที่ลมหายใจเริ่มรวยรินอ่อนลงทีละน้อย

“แม่นาง...” เสียงทุ้มลุ่มลึกดังขึ้นมาเบาๆ หวงจื่อจวินเงยหน้ามองชายตรงหน้าด้วยดวงตาแดงก่ำ มีหยาดน้ำใสเกาะพราวที่หางตา

เขาก็คือนายทหารที่ได้รับบาดเจ็บคนนั้น แต่ยามนี้...ดูเหมือนบาดแผลจากลูกธนูจะไม่เป็นผลร้ายใดๆกับเขาแล้ว

“ท่าน...ฟื้นแล้ว?” นางถามเสียงเบายิ่งกว่าเสียงยุงบิน ราวกับนางหาเสียงของตัวเองไม่เจอด้วยมีก้อนขมๆจุกอยู่ในลำคอ

“รีบช่วยบิดาท่านเถอะ”

หวงจื่อจวินก้มลงมองบิดาที่กำลังจับจ้องมองนางกับชายผู้นี้สลับไปมา หยาดโลหิตยังลงไหลออกมาจากปากหวงหมิงหยดแล้วหยดเล่า

“จวินเอ๋อร์...พ่อรู้ตัวดี” หวงหมิงยิ้มบางๆเห็นคราบเลือดอาบย้อมฟันขาวเป็นสีแดงฉาน

“ทะ...ท่านพ่อ อย่าห่วงไป ลูกจะช่วยชีวิตท่านให้ได้”

แต่หวงหมิงส่ายหน้า เขาค่อยๆใช้มือที่สั่นระริกล้วงเข้าไปในอกเสื้อที่ชุ่มไปด้วยเลือด แม้จะเจ็บแสนเจ็บจนเกินกว่าจะทนไหวเพราะถูกดาบแทงทะลุท้อง แต่หวงหมิงก็ยังกลั้นใจล้วงบางสิ่งออกมาได้เป็นผลสำเร็จ

มันคือหยกเหอเถียนที่มีอักษรคำว่า “หมิง” จารจารึกเอาไว้

“นะ...นี่เป็นของแทนใจพ่อที่ให้ไว้กับแม่ของเจ้า”

“ทะ...ท่านพ่อหมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ” หวงจื่อจวินเริ่มรู้สึกถึงความปวดร้าวชนิดหนึ่งที่เริ่มกัดกร่อนเข้ามาในจิตใจ นางรู้ดีว่าหยกเหอเถียนชิ้นนี้มารดามักพกติดตัวอยู่เสมอ

“พะ...พ่ออยากให้เจ้าไปจวนสกุลซิ่ว เอา...เอาหยกนี้ให้ฮูหยินผู้เฒ่าดู นางก็จะรู้ว่าเจ้าเป็นหลานสาวของนาง เจ้าไปอยู่ที่นั่น...ทำตัวดีๆ จะได้มีแต่คนรักคนเอ็นดู”

“ทะ...ท่านพ่อ ข้าไม่มีวันทิ้งท่านไว้ที่นี่ตามลำพังแน่!” หวงจื่อจวินยืนกรานเสียงแข็งทั้งที่ยังสะอึกสะอื้นจนตัวโยน

แต่หวงหมิงไม่สนใจนาง กลับหันไปยังชายแปลกหน้าที่บัดนี้ใบหน้าขาวซีดเพราะเลือดจำนวนมากไหลออกจากบาดแผลเก่าอีกครั้งแล้ว

“ตะ...ใต้เท้า...ข้าน้อยฝากบุตรสาวของข้าน้อยด้วย” สิ้นคำ มือหนาที่กอบกุมมือนุ่มนิ่มของบุตรสาวเอาไว้ก็ร่วงลงกับพื้น ศีรษะเอียงพับลง ตาปิดสนิท

วิญญาณของหวงหมิงได้หลุดลอยไปยังที่ที่ไกลโพ้นเสียแล้ว


[1] 1 มี่ เท่ากับ 1 เมตร

นิยายเรื่องอื่นของwenrou