ฮูหยินยาจก
ฮูหยินยาจก
รักโรแมนติก
pusshunkayan
ข้าเป็น"คุณหนูหมูอ้วน" ที่ชอบกินมากที่สุด แต่คราวเคราะห์ก็มาเยือนให้ต้องอยู่กินกับยาจกหนุ่มคนหนึ่ง สามีข้าอ่อนแอขี้โรค...แต่ชอบไปนอนตากแดดตกปลา โดยไม่เคยได้ปลาสักครั้ง สามีข้ายากจน แต่กับมีเพื่อนเอาอาหารดีๆมาให้กินอาทิตย์ละครั้ง สามีข้าไร้วรยุทธ์ แต่ทำไมชอบมีโจรมาปล้นบ้านบ่อยๆ สุดท้ายก็ได้รับความช่วยเหลือจากเพื่อนได้ทันท่วงที แต่เหตุไฉน...เพื่อนยาจกของเขาถึงมีฝีมือล้ำลึกยิ่งนัก สามีของข้าไร้การงาน แต่ชอบหายหัวไปไหนมาไหนโดยไม่บอกข้า พอกลับมาก็หอบตำรากลับมาด้วยทีละสามสี่เล่ม สรุป...ข้าแต่งงานให้ยาจกหรือบัณฑิตผู้หนึ่งกันแน่!!! แต่ที่แน่ๆ สามีของข้าโหดร้ายยิ่งนัก ชอบใช้งานข้าหนักยิ่ง แถมยังแย่งข้ากินอาหารอร่อยๆที่เพื่อนเอามาให้อีกต่างหาก
  • 13 ตอน
  • 3,999
นิยายโดย
  • 41 เรื่อง
  • |
  • 33 คนติดตาม
บทนำ

วันนั้นเป็นวันที่อากาศแจ่มใส มวลหมู่บุปผานานาพันธุ์ล้วนชูช่ออวดสีสันไม่ว่าจะเป็นสีขาว สีม่วง สีเหลือง สีฟ้า สีส้ม สีแดงหรือสีชมพู เหล่าหมู่ภมรพากันบินตอมดอมดมมวลผกาเพื่อลิ้มรสน้ำหวานจากเกสรกันอย่างปรีด์เปรม

พ่อบ้านใหญ่แห่งจวนผิงโหววิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาในเรือนกลางซึ่งผิงฮูหยินกำลังพูดคุยเรื่องสำคัญบางเรื่องกับบ่าวคนสนิทวัยเดียวกันอย่างมีลับลมคมใน พอบ่าวคนสนิทเห็นพ่อบ้านใหญ่เข้ามาในเรือนด้วยหน้าตาไม่สู้ดีนักก็ถามไถ่ขึ้นด้วยน้ำเสียงเข็มงวด อาศัยว่าตนเป็นคนรู้ใจของผิงฮูหยิน ซึ่งเป็นฮูหยินเอกของแม่ทัพไร้พ่ายผิงเกาจึงไม่ใคร่จะไว้หน้าพ่อบ้านใหญ่ซึ่งเป็นบ่าวคนสนิทผู้หนึ่งของผิงเกาเท่าไรนัก

“มีอะไรหรือ พ่อบ้านฮุ่ย ท่านจึงรีบร้อนเข้ามาหาฮูหยินโดยไม่ให้สุ้มให้เสียงเช่นนี้”

พ่อบ้านฮุ่ยไม่สนใจเปียวเปียว บ่าวคนสนิทของผิงฮูหยิน แต่รีบโค้งกายรายงานว่า

“เรียนฮูหยิน มีคนจากในวังมาหาฮูหยินขอรับ”

“คนจากในวัง!” ผิงฮูหยินชะงักไปชั่วครู่หนึ่ง ก่อนจะรีบลุกขึ้นจากโต๊ะ ร้องเร่งเปียวเปียวว่า

“ไป...รีบไปต้อนรับคนจากในวังที่หน้าประตูจวน”

“อ่า...ตอนนี้ขันทีผู้นั้นยืนรอฮูหยินอยู่ที่หน้าประตูใหญ่แล้วขอรับ” พ่อบ้านฮุ่ยรีบบอกอย่างแจ้งชัด

ผิงฮูหยินพอได้ยินคำว่าขันที ก็อดฝันหวานมิได้ว่าสามีของตนคงทำความดีความชอบที่ชายแดน จนได้รับปูนบำเหน็จรางวัลอะไรอีกแล้วกระมัง นางจึงรีบเร่งเดินออกจากเรือนกลางโดยไม่รอให้เปียวเปียวประคองนางเดินเฉกเช่นทุกครั้ง

ขันทีคนนั้นอยู่ในชุดขันทีสีแดง มีขันทีน้อยอีกสี่คนยืนอยู่ด้านหลัง คนหนึ่งถือกล่องไม้ไว้ในมือ ขันทีที่ยืนอยู่แถวหน้าสุดเป็นขันทีชรา ถือแส้ปัดไว้ในมือข้างขวา ดวงตาคมวาวเปี่ยมด้วยอำนาจ มิใช่คนที่ดูมีเมตตาอารีเท่าใดนัก

ผิงฮูหยินกับบ่าวไพร่ทั้งหมดพอเดินออกจากประตูใหญ่มาถึงลานเบื้องหน้า ก็รีบคุกเข่าลงอย่างพร้อมเพรียงกัน เห็นได้ชัดว่าการมาของขันทีชราครั้งนี้คงมาเพราะราชโองการสำคัญ

“ผิงฮูหยิน...ท่านสุขสบายดีหรือไม่?” ขันทีชราเกริ่นขึ้นมาก่อน

“ผู้น้อยสบายดีเจ้าค่ะ”

“อืม” ขันทีชรากวาดตามองคนในจวนผิงโหวที่นั่งคุกเข่าก้มหน้างุดราวกับจะตรวจให้แน่ใจว่าทุกคนอยู่กันพร้อมหน้าจริงๆ

“เหตุไฉนจึงไม่เห็นคุณหนูผิงหยางเล่า”

“ผิงหยางออกไปซื้อยาให้เหยาอี๋เหนียง มารดาของนางที่ล้มป่วยด้วยโรคฝีในปอดเจ้าค่ะ”

“อ้อ” ขันทีชราพยักหน้า ก่อนจะยื่นมือออกไป ขันทีน้อยที่ถือกล่องก็เปิดกล่องออกแล้วหยิบราชโองการสีเหลืองทองออกมาวางลงบนมือของขันทีชรา

“ผิงฮูหยิน รับราชโองการ... เนื่องจากแม่ทัพไร้พ่ายผิงเกา ผู้มีความสามารถสูงส่ง อีกทั้งยังเต็มเปี่ยมไปด้วยสติปัญญาเฉลียวลาด จงรักภักดียิ่ง ได้สู้ศึกกับแคว้นอู่อย่างสุดความสามารถจนพลีชีพในสนามรบ เราขออวยยศของผิงโหวเป็นผิงกั๋วกง มอบค่าบำรุงขวัญและค่าทำศพห้าหมื่นต้าน อีกทั้งมอบป้ายทองจากมือของเราเพื่อละเว้นโทษประหารหากอนุชนรุ่นหลังทำความผิดมหันต์เพื่อเห็นแก่ความดีความชอบครั้งใหญ่นี้ จบ ราชโองการ”

ผิงฮูหยินเกือบจะหงายหลังตึงด้วยความตกใจและเสียขวัญเมื่อรับรู้ว่าสามีของตนได้เสียชีวิตในสนามรบแล้ว แต่นางสามารถระงับสติอารมณ์ได้เป็นอย่างดีจึงค่อยๆยื่นมือที่สั่นระริกไปรับราชโองการและป้ายทองมากอดไว้แนบอก ก่อนจะหลั่งน้ำตาร้องไห้สะอึกสะอื้นเบาๆ

“ผิงฮูหยิน...ข้าเสียใจด้วย แต่ฝ่าบาทกำชับมาว่าหากสกุลผิงมีลูกหลานชายสืบตระกูล สามารถสืบทอดตำแหน่งกั๋วกงได้ทันทีและสามารถเข้ารับราชการได้โดยไม่ต้องสอบเคอจวี่” สิ้นคำ ขันทีชราก็สะบัดแส้ หมุนตัวเดินจากไปพร้อมกับขันทีน้อยอีกสี่คนเพื่อไปขึ้นรถม้าหน้าประตูจวนกลับวัง

หึ...ลูกหลานชายอย่างงั้นรึ...แม้แต่นางเองแต่งงานกับผิงเกามาสามสิบปียังไม่มีลูกสักคน แต่เขากับมีบุตรีกับอนุขี้โรคที่รักนักรักหนาเพียงคนเดียว เรื่องอะไรที่ข้าจะให้หลานของลูกอนุได้สืบทอดตำแหน่งกั๋วกงแล้วมาเหยียบหัวข้าในภายหลัง

หากจวนผิงโหวจะหมดสิ้นทายาทสืบทอดสกุลเพราะความใจดำของนาง นางก็ยอมในเมื่อผิงเกาใจดำกับนางก่อน!

เปียวเปียวประคองร่างผิงฮูหยินที่ยังนั่งตัวสั่นเทาขึ้นยืนอย่างช้าๆ พลางเรียกนางด้วยสีหน้าเห็นใจว่า “ฮูหยิน...ท่านไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่เจ้าคะ”

ผิงฮูหยินพยักหน้าช้าๆ ก่อนจะหมุนตัวเดินผ่านประตูใหญ่ เข้าประตูชั้นที่สองจึงถึงเรือนกลาง ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ไท่ซือ เปรยเบาๆกันสองคนนายบ่าวว่า

“ถึงเวลาที่ต้องกำจัดสองแม่ลูกสกุลเหยาให้พ้นจากจวนข้าเสียที”

“ตะ...แต่ว่าถ้าทำเช่นนั้น สกุลผิงจะไร้ผู้สืบทอดในอนาคตนะเจ้าคะ”

“เช่นนั้นเจ้าจะให้ข้ายอมให้นังหมูอ้วนผิงหยางได้แต่งงานกับชายหนุ่มสักคนแล้วมีบุตรชายออกมาสืบทอดตำแหน่งกั๋วกง แล้วมาเหยียบย่ำหัวฮูหยินเอกอย่างข้าในอนาคตหรอกหรือ?”

“แต่หากอยู่ดีๆสองแม่ลูกสกุลเหยามาด่วนตายจากไปพร้อมๆกัน จะเกิดเป็นที่ครหาของชาวบ้านได้นะเจ้าคะ”

“อืม...เจ้าพูดมาก็ถูก เช่นนั้นเราควรทำอย่างไรดีถึงจะกำจัดนังหมูอ้วนผิงหยางออกจากจวนได้โดยที่ชื่อเสียงของมันต้องเหม็นเน่าฉาวโฉ่ ทำให้มันกลับมายังจวนโหวไม่ได้อีก”

“บ่าวจะพยายามช่วยฮูหยินคิดหาวิธีเจ้าค่ะ”

“ยังไงวันนี้เหยาอี๋เหนียงก็ต้องตาย ในเมื่อนังลูกของมันไม่อยู่ ยิ่งกำจัดมันได้ง่ายขึ้น”

“อย่าห่วงไปเลยเจ้าค่ะ มื้อเที่ยงที่บ่าวเพิ่งให้คนนำไปส่งที่เรือนเล็กมียาพิษผสมอยู่ด้วย ไม่พ้นคืนนี้เหยาอี๋เหนียงจะค่อยๆหัวใจวายตายจากไปเจ้าค่ะ”

“ดี...เมื่อแม่ลูกสกุลเหยาถูกกำจัดไปแล้ว ข้าจะรับบุตรบุญธรรมสักคน แม้ไม่สามารถสืบทอดตำแหน่งกั๋วกงได้ แต่ก็สามารถช่วยดูแลสกุลผิงต่อไปได้ ข้าจะได้ตายอย่างหมดห่วง”


ผิงหยางเดินเชิดหน้าเร่งฝีเท้าตรงไปยังร้านยาโดยเร็วที่สุด ใครๆในเมืองหลวงจวี้โจวต่างรู้กันดีว่านางเป็นบุตรีสุดที่รักของแม่ทัพผิงเกา แต่ทว่า...เพราะท่านพ่อชอบบำรุงนางด้วยอาหารชั้นเลิศทุกครั้งที่กลับมาถึงเมืองหลวง และกำชับพ่อครัวในจวนว่าต้องทำอาหารที่อร่อยที่สุดมาให้นางกับท่านแม่กินทุกวัน ด้วยความที่นางเป็นคนตะกละ เห็นของกินที่โปรดปรานก็กินไม่หยุดปาก ยิ่งท่านพ่อให้เบี้ยหวัดท่านแม่ต่อเดือนเป็นจำนวนมาก นางก็นำเงินเหล่านั้นไปซื้ออาหารกินตามใจปากเวลาเดินเที่ยวที่ตลาดตะวันตก ทำให้นางมีรูปร่างอวบท้วมกว่าสตรีวัยเดียวกัน เป็นตัวตลกในสายตาของสตรีทั่วไป และเป็นที่หัวเราะเยาะของบุรุษชนชั้นสูงอีกด้วย ถึงขนาดมีคำเปรียบเปรยว่านางโลมที่ขี้เหร่ที่สุดในหอนางโลมแสงจันทร์ ยังสวยกว่านางถึงร้อยส่วน

ผิงหยางเป็นคนมองโลกในแง่ดี ไม่ใช่คนคิดมากกับคำเล่าลือของผู้คน ด้วยเพราะความรักความอบอุ่นที่มารดาและบิดามีให้ตนทำให้ไม่รู้สึกว่าตนขาดอะไรไป แม้จะต้องอยู่ภายใต้กฎระเบียบอันเข้มงวดของจวนที่ผิงฮูหยินกำหนดขึ้นมาก็ตาม แต่ผิงฮูหยินก็ไม่กล้าแตะต้องนางกับมารดาด้วยกลัวท่านพ่อจะเอาเรื่องขึ้นมาหากรู้ว่านางกับมารดาได้รับการกระทำอันไม่พึงประสงค์จากผิงฮูหยิน

แต่ทว่า...เป็นปีแล้วที่ท่านพ่อจากไปสู้ศึกในสนามรบกับต้าอู่ แถมยังไร้วี่แววจดหมายที่มักจะส่งมาถึงนางกับท่านแม่ไม่ได้ขาด ตอนนี้ท่านแม่ล้มป่วยหนัก นางเขียนจดหมายไปถึงท่านพ่อหลายฉบับ ไม่รู้ว่าท่านพ่อได้เปิดอ่านบ้างหรือไม่ แม้ใจของผิงหยางอยากจะให้ท่านพ่อขี่ม้าเร็วกลับมาดูแลท่านแม่ แต่ผิงหยางรู้ว่าเรื่องนี้เป็นไปไม่ได้ นางไม่ใช่เด็กๆแล้วที่จะออดอ้อนท่านพ่อขอนั่นขอนี่อย่างเอาแต่ใจ นางพ้นวัยปักปิ่นมาสามปีแล้ว จึงเป็นเรื่องสมควรที่นางจะต้องดูแลรักษาท่านแม่ด้วยกำลังความสามารถของตัวเองเพื่อแบ่งเบาภาระท่านพ่อ อีกทั้งท่านพ่อให้เงินรายเดือนไว้ไม่น้อย ทำให้นางไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีเงินซื้อยามารักษาโรคที่ท่านแม่เป็นไม่ได้

เพียงแต่ว่า...โรคที่ท่านแม่เป็นนั้นไม่มีทางรักษาหาย และอาจจะอยู่ได้อีกไม่กี่ปีเท่านั้น ผิงหยางอยากให้ท่านพ่อสู้ศึกรบชนะกลับมาเมืองหลวงเร็วๆแล้วใช้ชีวิตกับท่านแม่จนท่านแม่ตายจากไปอย่างสงบ

“คุณหนู...รีบเดินเร็วๆเข้าเถิดเจ้าค่ะ บ่าวไม่ชอบเลยที่ต้องทนมองดูผู้คนมองคุณหนูด้วยรอยยิ้มล้อเลียนแบบนั้น” เตียวสี่พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงไม่พอใจระคนอับอาย

“เจ้าติดตามข้ามาปีหนึ่งแล้วยังไม่ชินอีกหรือ?” ผิงหยางถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

ผิงหยางไม่ค่อยสนิทสนมกับสาวใช้ข้างกายคนนี้มากนัก แม้จะเป็นคนที่ท่านพ่อหามาให้ แต่บ่อยครั้งที่เตียวสี่มักจะพูดพาดพิงถึงข้อเสียเกี่ยวกับรูปร่างของนางอยู่บ่อยๆ ทำให้ผิงหยางรู้สึกว่าเตียวสี่คงไม่อยากมารับใช้คุณหนูน่าเกลียดแบบนาง แต่เพราะความจำเป็นจึงต้องอดทนอยู่รับใช้นางกับท่านแม่

น่าเสียดายที่สาวใช้คนก่อนของนางเกิดป่วยตายด้วยโรคไข้หวัดใหญ่ สาวใช้คนนั้นเป็นผู้ที่จงรักภักดีต่อนางและท่านแม่ยิ่ง ทุกวันนี้...ผิงหยางยังไม่อยากจะเชื่อว่าสาวใช้คนนั้นตายจากไปด้วยไข้หวัดใหญ่ที่ยามนั้นดูเหมือนนางใกล้จะรักษาหายแล้ว

“บ่าว...บ่าวแค่ไม่อยากให้คุณหนูถูกมองเป็นตัวตลกเท่านั้นเจ้าค่ะ ไม่ใช่ว่าบ่าวอับอายแทนคุณหนูนะเจ้าคะ” เตียวสี่รีบแก้ตัวอย่างร้อนรนเกินเหตุ

“ถ้าเจ้าไม่อยากเดินทางร่วมกับข้า เจ้าก็ไม่ต้องมาติดตามข้าก็ได้ คอยดูแลป้อนข้าวป้อนยาให้ท่านแม่อยู่ที่เรือนก็พอ ข้าสามารถมาร้านยาเองได้ ไม่มีใครหน้าไหนกล้าทำร้ายข้าหรอก”

แหง๋ล่ะ...ก็อัปลักษณ์ถึงปานนี้ ใครอยากจะสนเจ้ากัน! เตียวสี่คิดอย่างเดียดฉันท์

ผิงหยางพูดจบก็เร่งฝีเท้าขึ้นอีก ร้านยาอยู่ไม่ไกลแล้ว แต่ทว่า...เบื้องหน้ากลับมีฝูงชนจำนวนมากล้อมกันเป็นวงใหญ่อยู่กลางถนน เหมือนมีบางสิ่งบางอย่างดึงดูดความสนใจของพวกเขา

เพราะฝูงชนกลุ่มนี้ขัดขวางเส้นทางการเดินไปร้านยาของผิงหยาง ดรุณีนางจึงต้องเบียดเสียดฝูงชนเข้าไป หมายจะเดินทะลุผ่านคนเหล่านั้นเพื่อตรงไปร้านยา มิคิดจะสนใจสิ่งที่ผู้คนให้ความสนใจ

แต่ทว่า...ภาพที่นางเห็นทำให้นางมิอาจก้าวเท้าเดินผ่านไปได้โดยไม่รู้สึกรู้สม

บุรุษหนุ่มคนหนึ่งสวมใส่เสื้อผ้าเก่าขาด เนื้อตัวมอมแมมนอนหมดสติอยู่กลางถนนภายใต้วงล้อมของฝูงชนที่เอาแต่ซุบซิบนินทาแต่มิคิดจะช่วยเหลือ

“พวกท่านทั้งหมดมามุงดูคนป่วยทำไม เหตุไฉนไม่มีใครคิดช่วยเหลือเขาเลยเล่า!” ผิงหยางตะโกนถามขึ้นมาด้วยความโมโห ชาวบ้านต่างพากันตอบบ่ายเบี่ยงแถไปเรื่อยเปื่อย

“พวกท่านไม่รู้หรือว่าคนเป็นลมต้องการอากาศบริสุทธิ์หายใจเข้าปอด พวกท่านมายืนมุงดูบดบังอากาศเช่นนี้ ยิ่งจะทำให้คนป่วยมีอาการย่ำแย่ลง”

“ในเมื่อคุณหนูหมูอ้วนพูดเช่นนี้ก็ช่วยเหลือเขาซี!!!” มีชายหนุ่มชาวบ้านคนหนึ่งพูดขึ้นพลางหัวเราะเยาะเย้ย ชาวบ้านที่เหลือก็พากันส่งเสียงเย้ยหยันว่ามายืนด่าทอพวกตนแต่นางก็เหมือนกับพวกเขาที่มิคิดจะช่วยเหลือยาจกคนนี้หรอก

เตียวสี่ที่ยืนอยู่ด้านหลังผิงหยางแอบยกมือปิดปากหัวเราะเบาๆเมื่อได้ยินชายหนุ่มคนนั้นกล้าเรียกคุณหนูสกุลผิงว่าคุณหนูหมูอ้วน

ผิงหยางถลกแขนเสื้อขึ้นกวาดตามองชาวบ้านแต่ละคนซึ่งนางล้วนจดจำใบหน้าของพวกเขาได้ จะว่าไปนางแทบจะจดจำใบหน้าของคนที่ยิ้มล้อเลียนนางแทบทุกคนในเมืองหลวงได้จนหมด ก่อนจะเอ่ยว่า “ข้าย่อมช่วยเหลือเขาแน่ ข้าไม่ใช่คนปากว่าตาขยิบ ที่ขึ้นเขาไปวัดสวดมนต์ร้อยจบขอพรจากพระโพธิสัตว์ทุกเดือน แต่พอพบคนที่ต้องการความช่วยเหลือกลับเมินหน้าหนีอย่างพวกท่าน พวกท่านล้วนแต่เป็นคนหน้าซื่อใจคด”

“นี่เจ้า”

“ต๊าย...ปากคอเราะรายจริงๆ ขอพระโพธิสัตว์ทรงสั่งสอนนางด้วยเถิด”

ชาวบ้านพากันส่งเสียงประณามหยามเหยียดผิงหยางที่มาดูถูกศรัทธาของพวกตน แต่ผิงหยางไม่สนใจ หันไปเรียกเตียวสี่ สาวใช้เดินมายืนข้างกายนายสาวที่กำลังนั่งยองๆอย่างงงๆ

“คุณหนูจะให้บ่าวทำอะไรหรือเจ้าคะ”

“เจ้ายกร่างพี่ชายท่านนี้วางบนหลังข้าหน่อย ข้าจะแบกเขาไปร้านยาด้วยกัน”

“ตะ...แต่คุณหนู...เขาเป็นยาจก แต่งกายก็สกปรกมอมแมม คุณหนูไม่สมควรลงไปเกลือกกลั้วกับคนเช่นนี้นะเจ้าคะ”

“ใช่ๆ สาวใช้ของเจ้ายังมีความคิดมากกว่าเจ้าอีก ในเมื่อเกิดมาเป็นยาจกก็ต้องรับกรรมรับเวรที่ต้องชดใช้ หากมันจะป่วยตายพวกเราล้วนไม่ขอข้องเกี่ยว” ชายหนุ่มคนเดิมเสริมขึ้น

“หึ...” มุมปากของผิงหยางเปิดรอยยิ้มดูแคลน “ข้ารู้ว่าเวรกรรมมีจริง แต่จะอ้างว่าเป็นเพราะเวรกรรมจึงเกิดมาเป็นยาจกเช่นนี้แล้วมิสมควรได้รับความช่วยเหลือในยามป่วยไข้ ข้าไม่เห็นด้วย ยิ่งเป็นคนยากจนขัดสนยิ่งต้องสงสารเห็นใจให้ความช่วยเหลือ ในเมื่อพวกท่านล้วนไม่เคยประสบพบเจอเหตุการณ์เช่นนี้กับตัวเอง พวกท่านจึงกล้าพูดปาวๆ แต่เมื่อไหร่ที่พวกท่านต้องทนทุกข์ทรมานเช่นยาจกผู้นี้ ข้าได้แต่ภาวนาว่าพวกท่านจะไม่ถูกทอดทิ้งให้นอนป่วยอยู่กลางถนนเช่นเขาโดยไร้คนเหลียวแล”

สิ้นคำ ผิงหยางก็ค่อยๆหยัดกายขึ้นยืนโดยมีร่างไร้สติของยาจกหนุ่มแบกอยู่บนหลังโดยเตียวสี่ต้องกลั้นลมหายใจยกร่างล่ำสันที่นอนสลบไสลวางลงบนหลังนายสาวด้วยสีหน้าฉายชัดถึงความรังเกียจ พอเห็นนายสาวแบกร่างนั้นเดินดุ่มๆจากไป ก็รีบเอามือเช็ดกระโปรงร้องอี๋ๆในใจแล้ววิ่งตามหลังผิงหยางไปติดๆ

ที่ร้านยา หมอชราพอเห็นผิงหยางโผล่เข้ามาในร้านพร้อมยาจกหนุ่ม แทนที่จะทำสีหน้ารังเกียจ กลับยิ้มชื่นชมเอ็นดู กล่าวชมเชยว่า

“คุณหนูผิงมีจิตใจเมตตาดั่งเทพเซียน เด็กโอสถของข้ามาเล่าให้ข้าฟังแล้วเรื่องที่คุณหนูผิงโต้ตอบกับชาวบ้านที่ไม่สนใจจะช่วยเหลือยาจกผู้นี้”

“เช่นนั้นขอท่านหมอได้โปรดตรวจอาการของเขาหน่อย ค่ารักษาของเขาข้าเป็นคนจ่ายเอง จากนั้นค่อยจ่ายยาของท่านแม่เจ้าค่ะ”

หมอชราพยักหน้า ก่อนจะสั่งให้เด็กโอสถสองคนมารับร่างของยาจกหนุ่มไปวางนอนบนตั่งที่อยู่ชิดผนังของร้านฝั่งตรงข้ามชั้นเก็บยา จากนั้นจึงเดินไปจับชีพจร เปิดเปลือกตา เอามืออังหน้าผาก ก่อนจะหันมาบอกผิงหยางว่า

“ชายผู้นี้เป็นลมแดดเพราะไม่ได้กินข้าว แต่ที่น่าเป็นห่วงดูเหมือนว่า...

“เขายังป่วยเป็นโรคอื่นด้วยหรือเจ้าคะ” ผิงหยางมีสีหน้าวิตกกังวลขึ้นมาทันที

“ใช่...ดูเหมือนปอดของชายผู้นี้จะอักเสบ ไม่มียาใดสามารถรักษาโรคนี้ให้หายได้ นอกจากกินยาบรรเทาอาการไปในแต่ละวันเท่านั้น”

“เช่นนั้นเขาจะอายุสั้นหรือไม่เจ้าคะท่านหมอ”

หมอชรายิ้มน้อยๆ “อย่าห่วงไปเลย หากกินยาอย่างสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ ก็สามารถมีชีวิตยืนยาวได้ แต่อาจจะไม่เหมือนคนทั่วไปเท่านั้นเอง”

“เฮ้อ...น่าสงสารยาจกหนุ่มคนนี้จริงๆ” ผิงหยางรำพึง เหลียวมองคนตัวโตกว่านางที่นอนหลับสนิทอย่างเห็นใจ

ทันใดนั้น...ยาจกหนุ่มก็ส่งเสียงครางอืออา ก่อนจะค่อยๆลืมตาขึ้นช้าๆ ผิงหยางเห็นเขาได้สติก็รีบยื่นหน้าไปมองเขาใกล้ๆ ทำให้ยาจกหนุ่มถึงกลับผงะ รีบหยัดกายขึ้นนั่ง

“เจ้าฟื้นแล้ว” ผิงหยางพูดอย่างดีใจ

“จะ...เจ้าช่วยข้าไว้หรือ?” ยาจกหนุ่มถาม กวาดตามองร่างอวบท้วมตรงหน้า ก่อนปรายตามองไปยังหมอชราที่มองเขาด้วยสายตาชนิดหนึ่ง

“ใช่แล้ว ยาจกน้อย เป็นคุณหนูผิงที่ช่วยเจ้าเอาไว้” หมอชราตอบด้วยน้ำเสียงอารี

“เช่นนั้นข้าขอบคุณคุณหนูมาก” ยาจกหนุ่มยกมือขึ้นคำนับหลายที แล้วทำท่าจะลุกขึ้นเดินออกจากร้านยา แต่พอลุกร่างก็ซวนเซไปมาเหมือนคนไม่มีกำลัง ผิงหยางรีบปราดเข้ามาประคองเขาให้ยืนพิงไหล่นาง

“เจ้าคงหมดแรงเพราะยังไม่ได้กินอะไร เดี๋ยวข้าจะเลี้ยงข้าวเจ้าเอง เตียวสี่...เจ้าไปจ่ายค่ารักษายาจกหนุ่มท่านนี้ แล้วรับยาของเขากับยาของท่านแม่มา จากนั้นค่อยตามข้าไปที่ร้านบะหมี่ท่านลุงเสียนนะ” พูดจบ ผิงหยางก็ประคองยาจกหนุ่มเดินออกจากร้านยา มิทันเห็นว่ายาจกหนุ่มเหลียวหลังไปมองหมอชราที่พยักหน้าให้เขายิ้มๆราวกับมีความลับบางอย่างต่อกัน

ระหว่างเดินจากร้านยาไปยังร้านบะหมี่ลุงเสียน ชาวบ้านต่างมองตามกันเป็นพรวนและพากันซุบซิบวิพากษ์วิจารณ์ที่ผิงหยางเดินจับมือถือแขนปล่อยเนื้อปล่อยตัวกับยาจกหนุ่มคนหนึ่ง

“มะ...แม่นาง ข้าเดินเองได้” ยาจกหนุ่มพูดอ้อมแอ้ม กวาดสายตามองชาวบ้านที่ชี้ชวนกันดูผิงหยางกับเขาด้วยสีหน้าซับซ้อนที่เก็บซ่อนเอาไว้อย่างดี

“ได้อย่างไร ขนาดลุกยืนเจ้ายังไม่มีแรงจะยืน แล้วจะเดินเองได้อย่างไร หรือว่าเจ้ารังเกียจที่ต้องเดินกับหญิงอัปลักษณ์เช่นข้า” ถ้อยคำท้าย น้ำเสียงของผิงหยางเต็มไปด้วยความกังขามากกว่าจะผิดหวัง เสียใจหรือโมโห

“ไม่ใช่...ข้ากลัวแม่นางจะตกเป็นขี้ปากชาวบ้านเพราะยาจกอย่างข้า ทำให้แม่นางเสื่อมเสียชื่อเสียงจนไม่มีชายใดอยากรับท่านไปเป็นภรรยาในอนาคต”

ผิงหยางถึงกับหัวเราะร่วน เผลอจับแขนที่มีมัดกล้ามพอควรแน่นขึ้น “ชาตินี้ข้าไม่เชื่อว่าจะมีชายใดอยากแต่งงานกับข้าอยู่แล้ว เจ้าอย่าห่วงไปเลย หากเป็นเจ้า...เจ้าก็คงไม่เลือกสตรีอย่างข้าแต่งงานด้วยเช่นกันจริงไหมเล่า” ใบหน้ากลมๆตากลมๆมองยาจกหนุ่มอย่างรู้เท่าทัน

ยาจกหนุ่ม “...”

“เอาล่ะ ถึงร้านบะหมี่แล้ว” ผิงหยางพาร่างล่ำสันไปนั่งลงบนเก้าอี้ตัวเล็กหน้าโต๊ะเตี้ยๆของร้านบะหมี่ริมทาง ก่อนหันไปสั่งเจ้าของร้านว่า

“ท่านลุงเสียน ขอบะหมี่ผักสี่ชามกับบะหมี่เนื้อชามหนึ่ง”

เมื่อบะหมี่ห้าชามมาวางลงบนโต๊ะ ผิงหยางก็ยื่นชามบะหมี่เนื้อให้ยาจกหนุ่ม ส่วนตนกินบะหมี่ผักเพราะนางชอบกินผัก ยาจกหนุ่มถึงขนาดขมวดคิ้วนิ่วหน้าเมื่อมองจำนวนชามบะหมี่ของนาง แล้วค่อยดูผิงหยางดูดเส้นบะหมี่เข้าปากอย่างรวดเร็ว นางกินอย่างเอร็ดอร่อยมาก หากเรียกตามภาษาปากคงต้องพูดว่า “สวาปามบะหมี่” ถึงจะถูกต้อง

ผิงหยางรู้สึกถึงความผิดปกติ จึงเงยหน้าขึ้นมองยาจกหนุ่มทั้งที่ยังดูดเส้นบะหมี่อยู่ นางรีบดูดเส้นบะหมี่เส้นสุดท้ายเข้าปากแล้วถามว่า “ทำไมพี่ชายไม่กินเล่า หรือว่าไม่ชอบกินบะหมี่”

“เปล่า” ยาจกหนุ่มตอบสั้นๆ มองนางด้วยประกายตาประหลาด

ตอนนั้นเองที่เตียวสี่โผล่หน้ามาพร้อมห่อยาหลายห่อ

“คุณหนู...ระหว่างทางบ่าวได้ยินชาวบ้านนินทาคุณหนูใหญ่เลย หากนายท่านกลับมาจะไม่ว่าคุณหนูเอาหรือเจ้าคะที่...ที่...” ผิงหยางหันมามองยาจกหนุ่มที่มีใบหน้ามอมแมม มองเค้าโครงหน้าไม่ออกว่ามีหน้าตาเช่นไร แต่โดยภาพรวมในยามนี้ จัดเป็นชายหนุ่มที่มีหน้าตาธรรมดาคนหนึ่ง ยาจกหนุ่มไม่แม้แต่จะชายหางตาแลเตียวสี่แต่ลงมือกินบะหมี่อย่างหิวโหย

“ท่านพ่อต้องเชื่อใจข้า อย่าห่วงเลยเตียวสี่” น้ำเสียงของผิงหยางบ่งบอกถึงความไม่ยินดียินร้ายใดๆทั้งสิ้น

“อ่า...เจ้าค่ะ”

“เจ้าก็สั่งบะหมี่กินสักชามเถอะ เตียวสี่ เดี๋ยวเราต้องไปส่งพี่ชายท่านนี้ที่บ้านเขาอีก”

“ห๊า! คุณหนูมิคิดจะรีบกลับไปต้มยาให้มารดาคุณหนูหรือเจ้าคะ”

“มีพ่อบ้านฮุ่ยดูแลอยู่ ข้าไม่ค่อยกังวลมากนัก แต่พี่ชายท่านนี้เป็นลมแดดเพราะไม่ได้กินอาหาร ข้าคิดว่าที่บ้านของเขาคงไม่มีอาหารสักอย่างแม้แต่อาหารแห้ง เลยคิดจะซื้ออาหารแห้งให้เขาติดมือกลับไปด้วย แต่เขายังไม่ค่อยมีแรงเลยว่าจะให้เจ้านำอาหารแห้งเหล่านั้นตามข้าไปส่งให้เขาถึงบ้าน อีกอย่างข้าเองก็ไม่วางใจหากจะปล่อยให้พี่ชายท่านนี้กลับบ้านตามลำพัง กลัวจะเป็นลมเป็นแล้งไปอีก”

“อ่า...เจ้าค่ะ”

นังหมูอ้วน ทำตัวดั่งเทพเซียน แต่คนลำบากกลับเป็นข้า เฮอะ!


บ้านของยาจกหนุ่มอยู่ที่ชานเมือง เป็นกระท่อมไม้หลังเล็กๆ ข้างหน้าบ้านเป็นบ่อเลี้ยงปลา ไม่มีรั้วรอบขอบกำแพง ริมบ่อเลี้ยงปลามีต้นอู๋ถงต้นใหญ่ ใบสีเขียวของมันกำลังล้อแสงแดดยามบ่าย เตียวสี่ที่เดินถือข้าวสารอาหารแห้งจนปวดแขนปวดมือได้แต่ก่นด่าสาปส่งผิงหยางกับยาจกหนุ่มขโมงโฉงเฉง

ผิงหยางเข้าไปสำรวจด้านในกระท่อม ปล่อยให้ยาจกหนุ่มไปช่วยเตียวสี่เก็บของในครัวเล็กๆ ภายในกระท่อมมีเพียงเตียงนอนเก่าๆที่ฟูกเปื่อยยุ่ย โต๊ะทานข้าววางตรงกลางห้อง กระโถนขับถ่ายที่ปลายเตียง และโต๊ะวางอ่างล้างหน้า กับกองเสื้อผ้าเก่าๆที่พับวางอยู่บนพื้น

ผิงหยางเห็นว่าเพิ่งจะบ่าย ยังมีเวลาเหลือพอกลับไปต้มยาให้ท่านแม่ได้ดื่มตรงเวลา จึงหยิบไม้กวาดที่วางพิงผนังมากวาดพื้น พอเตียวสี่เดินกลับเข้ามาจากในครัวเห็นเจ้านายสาวลงมือทำความสะอาดกระท่อมของยาจกก็ตกตะลึง ร้องอุทานลั่นในใจว่า

นี่ข้าต้องกลายมาเป็นจูปาเจี้ยส่องกระจกหรือนี่[1]!

“เตียวสี่...เจ้าไปหาผ้าชุบน้ำมาถูพื้นห้องหน่อย ส่วนพี่ชายท่านนี้...ข้าคิดว่าท่านคงมีเรี่ยวแรงบ้างแล้ว เช่นนั้นไยมิใช้ไม้กวาดปัดหยากไย่บนเพดานเล่า!” ผิงหยางพูดเจือยิ้ม พลางส่งไม้กวาดให้ยาจกหนุ่มที่รับจากมือนางอย่างอึ้งๆ “หากข้าตัวสูงเกินร้อยแปดสิบหกเฟิน[2] คงปัดหยากไย่ให้ท่านได้แล้ว ดูจากรูปร่างพี่ชายคงสูงเกินเจ็ดฉื่อ[3]แน่ๆ เช่นนั้นการปัดหยากไย่คงไม่เกินแรงท่าน”

ยาจกหนุ่มจึงลงมือปัดหยากไย่ด้วยใบหน้าเรียบเฉย ผิงหยางสังเกตว่ายาจกคนนี้เป็นคนพูดน้อย ยิ้มยาก เหมือนจะเป็นคนขาดอารมณ์ขันอยู่สักหน่อย นางจึงร้องเพลงพื้นบ้านตลกๆที่พวกเด็กเล็กๆในเมืองหลวงชอบร้องเล่นกันให้เขาฟัง

แต่เขาก็ยังไม่ยิ้มหัว มีแต่เตียวสี่ที่หัวเราะคิกคักชอบใจอยู่คนเดียว

ผิงหยางจึงรู้สึกจนใจอยู่บ้าง นางมิได้หวังจะได้เห็นรอยยิ้มขอบคุณ นางแค่อยากมั่นใจว่ายาจกหนุ่มผู้นี้อาการดีขึ้นมากจนสภาพจิตใจและอารมณ์แจ่มใสเท่านั้นเอง

ทันใดนั้น...

“แค่ก แค่ก แค่ก” ยาจกหนุ่มไอออกมาจนหน้าดำหน้าแดง ผิงหยางจึงนึกขึ้นได้ว่าเขากำลังป่วยด้วยโรคปอดอักเสบ คงเผลอสูดฝุ่นจากหยากไย่เข้าปอดทำให้โรคกำเริบ จึงรีบชิงไม้กวาดคืนมา พูดเสียงตระหนกว่า

“ขะ...ขอโทษ พี่ชาย ข้าลืมไปว่าท่านกำลังป่วยอยู่ ท่านออกไปนั่งพักหน้าบ้านเถอะ ไว้ข้ากับบ่าวทำความสะอาดบ้านท่านเรียบร้อยดีแล้ว จึงจะไปเรียกท่าน” ผิงหยางรีบรุนหลังยาจกหนุ่มให้เดินออกไปนั่งริมบ่อปลา บุรุษหนุ่มก็มิได้ขัดขืน ยอมปล่อยให้นางรุนเขาเดินออกจากบ้านอย่างสงบ กระนั้น...เขาก็ยังไอค่อกแค่กอยู่สองสามที

ผ่านไปราวสองเค่อ ผิงหยางกับเตียวสี่ที่มีสภาพเนื้อตัวมอมแมมเพราะคราบฝุ่นก็ออกมาจากกระท่อมหลังน้อย ผิงหยางผลิยิ้มหวาน ทำให้ใบหน้ากลมเหมือนลูกซาลาเปาของนางดูน่ารักน่าเอ็นดูขึ้นมาอย่างน่าประหลาด นางรีบตรงมาดึงแขนยาจกหนุ่มให้ลุกขึ้นแล้วพาเขาเข้าไปในกระท่อม

พอยาจกหนุ่มเห็นกระท่อมที่สะอาดสะอ้าน จำต้องกระพริบตาปริบๆอยู่หลายที ในใจครุ่นคิดเรื่องบางเรื่องแต่มิได้พูดออกไป

เจ้าสี่ตัวนั่นคงยิ้มหน้าบานที่ไม่ต้องมาทำความสะอาดบ้านให้เขาเป็นแน่

“ขอบคุณแม่นางมาก หวังว่าสักวันข้าคงได้มีโอกาสตอบแทนน้ำใจนี้” ยาจกหนุ่มยกมือคำนับหนึ่งครั้งอยู่หน้าประตูกระท่อม ผิงหยางที่ก้มลงปัดเศษฝุ่นออกจากชายกระโปรงรีบเงยหน้าขึ้นมอง พลางโบกไม้โบกมือ

“ไม่ต้องๆ แค่ท่านไม่ไปนอนสลบกลางตลาดอีก ข้าถือว่าเป็นการตอบแทนน้ำใจของข้าแล้ว อ้อ...ข้าต้มยาให้แล้ว ท่านอย่าลืมดื่มเสียล่ะ ยานี้ต้องดื่มวันละสามมื้อ ท่านหมอให้ยาแก่พี่ชายมาสามวัน แล้ววันหลังข้าจะสั่งบ่าวให้ไปซื้อยาที่ร้านหมอมามอบให้พี่ชาย ท่านก็อย่าถือว่าเป็นบุญเป็นคุณเลยนะ”

ยาจกหนุ่ม “...”

ผิงหยางจ้องตาเขา คาดหวังรอคอยจะได้เห็นรอยยิ้มเล็กๆสักครั้ง แต่ใบหน้ามอมแมมนั้นยังคงเรียบนิ่งเหมือนน้ำใต้ก้นบ่อ

“เอาล่ะ ข้ากลับก่อนนะ หากมีอะไรติดขัด ไปขอความช่วยเหลือจากข้าได้ที่จวนผิงโหว ถามหาคุณหนูผิงหยาง...”

ยาจกหนุ่ม “...”

ผิงหยางฉีกยิ้มกว้าง ก่อนจะหมุนตัวเดินออกจากตรอกซึ่งเป็นที่ตั้งกระท่อมไม้ของยาจกหนุ่ม หน้าที่เบิกบานแจ่มใสของนาง พอลับหลังยาจกหนุ่มพลันยู่ยี่เหมือนก้อนซาลาเปา บ่นเบาๆกับเตียวสี่ว่า “ถ้าข้าได้คนยิ้มยาก ไม่มีอารมณ์ขันมาเป็นสามีคงเสียใจและผิดหวังมากกว่าแต่งงานให้กับชายขี้เหร่แต่ช่างเอาอกเอาใจเสียอีก”

“คุณหนูชอบยาจกคนนั้นหรือเจ้าคะ” เตียวสี่ทำตาโต

ผิงหยางมองนางเหมือนเห็นคนทึ่มเดินข้างๆตน “ข้าแค่พูดเปรียบเทียบ ในโลกนี้มีใครบ้างที่อยากได้ผู้หญิงตัวเตี้ยๆน้ำหนักตั้งสามสิบสามชั่ง[4]อย่างข้าบ้างเล่า”


[1]โดนทั้งขึ้นทั้งล่อง

[2]เซนติเมตร

[3]1 ฉื่อ เท่ากับ 1 ฟุต

[4]66 กิโลกรัม

เกี่ยวกับนักเขียน
41 เรื่อง 33 คนติดตาม
นิยายเรื่องอื่นของpusshunkayan