ร้อยชู้ หนึ่งดวงใจ
วรรณกรรมผู้ใหญ่
ร้อยชู้ หนึ่งดวงใจ
วรรณกรรมผู้ใหญ่
มาดามเกรย์
'ต่อให้มีร้อยชู้พันใคร่ แต่เราก็มีหัวใจเพียงดวงเดียวที่จะรักใครสักคนอย่างแท้จริง' ปมด้อยในวัยเยาว์ทำให้ดวงใจปรารถนาแสวงหาความรัก อยากมีครอบครัวที่สมบูรณ์อบอุ่น ทว่ารูปโฉมอันงดงามกลับดึงดูดชายมากหน้าที่หาความจริงใจไม่ได้เข้ามาในชีวิต ดวงใจจะฝ่าฟันอุปสรรค รวมถึงเอาชนะจิตใจที่อ่อนแอแพ้ตัณหาของตน เพื่อไปถึงหลักชัย ค้นพบหัวใจดวงเดียวที่รักหล่อนอย่างแท้จริงได้หรือไม่ โปรดติดตามได้ในนิยายดรามาย้อนยุคร้อนแรง 'ร้อยชู้ หนึ่งดวงใจ' **จะลงให้อ่านเป็นตัวอย่าง 16 ตอน แล้วลบเหลือ 6 ตอน ตอนนี้มีขายทั้งเรื่องแล้วใน meb หรือจะเจาะอ่านเป็นตอนก็ที่ ReadAWrite หรือ Fictionlog ก็ได้ค่ะ ขอบคุณมากค่ะ**
  • 33 ตอน
  • 64K
นิยายโดย
  • 75 คนติดตาม
บทนำ

ดวงตะวันลอยเลื่อนพ้นขอบฟ้า สาดรัศมีเรืองรองผ่านเมฆลงมาสลายหมอกยามเช้ากลางฤดูหนาว แสงสีทองอาบบนจีวรสีหมากสุกที่พลิ้วสะบัดน้อยๆ ตามจังหวะก้าวอันสำรวมของพระภิกษุหลายรูปซึ่งกำลังเดินเรียงแถวมาตามบาทวิถี ทั้งหมดนี้ประกอบกันเป็นภาพที่งามจับตา ก่อให้เกิดความสงบสุขในจิตใจของผู้พบเห็น สตรีวัยกลางคนผู้มีใบหน้าสวยเด่น เรือนร่างอรชรอ้อนแอ้นราวกับสาวๆ และมีกิริยาท่าทีสง่างามละมุนละม่อม ซึ่งยืนรอตักบาตรอยู่หน้าคฤหาสน์หลังใหญ่ทอดตามองพลางยิ้มเศร้าๆ ด้วยภาพนั้นพาให้ย้อนรำลึกถึงวันหนึ่งในฤดูหนาวเมื่อราวสี่สิบกว่าปีที่แล้ว...พ.ศ. 2465

ปีนั้นอากาศเย็นกว่าทุกปี ยามเช้าตรู่บรรยากาศขมุกขมัว ผู้คนที่เดินสัญจรไปมาหน้าเพิงขายข้าวแกงย่านคลองหลอดต่างสวมเสื้อไหมพรมหรือไม่ก็เสื้อผ้าสำลีเนื้อหนากันหนาว พวกเขาพากันมองเด็กหญิงวัยห้าหกขวบที่สวมเพียงเสื้อคอกระเช้าเนื้อบางและผ้าถุงเก่าๆ มีรอยปะชุนทั่วตัวอย่างเวทนา แม่หนูยืนกอดขันใส่ข้าวสวยรอใส่บาตรโดยพยายามซุกตัวแอบหลังเสาเพื่อหลบลม ปากจิ้มลิ้มซีดจนเขียว ตัวสั่นเทาจนฟันกระทบกันกึกๆ ด้วยความหนาวเย็น โดยเฉพาะยามลมกระโชกแรง

ดวงตากลมโตมีแววโหยหาอาดูรเหม่อมองไปบนบาทวิถีที่มีคนเดินไปมา สอดส่ายสายตาเหมือนจะมองหาใครบางคน หลายครั้งที่แม่หนูชะเง้อชะแง้ แต่พอเห็นว่าหญิงสาวที่เดินใกล้เข้ามาไม่ใช่คนที่มองหาก็หน้าละห้อย และเศร้าสร้อยยิ่งขึ้นเมื่อเห็นบางคนเดินจูงมือเด็กวัยไล่เลี่ยกันอย่างปกป้องทะนุถนอมไปส่งยังโรงเรียนเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเพิง เห็นแล้วเด็กน้อยคิดถึงแม่เหลือเกิน ขณะเดียวกันความอ่อนเยาว์ไร้เดียงสาก็ทำให้แบ่งใจไปโหยหาอยากไปโรงเรียนกับเขาบ้าง จะได้ไปเล่นกับเด็กๆ ในวัยเดียวกันที่ฟากโน้น

“แม่จ๋า แม่อยู่ไหน ทำไมทิ้งดวงใจไป แล้วเมื่อไรจะกลับมารับหนู”

ตั้งแต่จำความได้ก็อยู่กับแม่เพียงคนเดียว ไม่เคยพบเห็นพ่อ สองคนแม่ลูกระเหเร่ร่อนไปด้วยกัน กลางวันเด็กน้อยจะตามแม่ไปทำงานแลกอาหารมายาไส้ กลางคืนอาศัยนอนตามศาลาวัดบ้าง บ้านญาติบ้าง แต่อยู่ที่ไหนไม่เคยได้นานก็มักจะถูกขับไล่ไสส่ง จนกระทั่งญาติห่างๆ คนหนึ่งเรียกมาช่วยงานที่เพิงขายอาหาร ท่าทางแม่จะอยู่ที่นี่ได้นาน เพราะได้พบปะเจรจากับลูกค้า ถูกกับนิสัยช่างพูดช่างคุย ทั้งยังมีที่อยู่ที่กินให้เสร็จสรรพ พอขายอาหารหมดก็กางมุ้งนอนในเพิงนั้นเลย

แม้เจ้าของเพิงจะเป็นหญิงใจร้ายเจ้าอารมณ์ ชอบดุด่าและจิกใช้สองแม่ลูกหัวไม่วางหางไม่เว้น แต่เด็กน้อยก็มีความสุขที่ได้อยู่ใกล้ๆ แม่ มีที่ซุกหัวนอนทุกคืน มีอาหารกินพออิ่มท้องวันละสองมื้อ ในที่สุดชีวิตของสองแม่ลูกก็ดูเหมือนจะลงตัวและลงหลักปักฐานได้ในที่สุด

ทว่าพอเริ่มวางใจ เช้าวันหนึ่งดวงใจก็ตื่นขึ้นมาพบว่าแม่เก็บเสื้อผ้าข้าวของที่มีอยู่น้อยนิดหนีไปเสียแล้ว

เด็กหญิงเดินร้องไห้หาแม่ไปตามถนน ร่ำร้องให้กลับมารับ แต่แล้วหัวใจดวงน้อยๆ ก็ต้องแตกสลายเมื่อหญิงเจ้าของเพิงอาหารมาลากตัวกลับไป และทำลายความหวังด้วยการโพล่งความจริงใส่หน้า

“แม่เอ็งหนีตามผู้ชายไปแล้ว ทิ้งเอ็งไว้เป็นภาระให้ข้าต้องเลี้ยงดู ร้องให้ตายมันก็ไม่กลับมารับหรอก ป่านนี้ไปสำเริงสำราญอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ โธ่เว้ย ลำพังตัวข้าเองก็จะเอาตัวไม่รอดอยู่แล้ว ยังจะทิ้งเด็กไร้ค่าไว้ให้เลี้ยงอีก แต่เอาเถอะ ไล่ไปก็คงไปตายข้างถนน ข้าจะเลี้ยงไว้เอาบุญ แต่เอ็งอยู่ที่นี่ก็อย่านิ่งดูดาย ช่วยข้าหยิบจับโน่นนี่บ้างนะเว้ย”

ทว่าสิ่งที่นางสั่งให้ดวงใจทำในแต่ละวันมันยิ่งกว่าแค่หยิบจับมากนัก ทุกวันเด็กหญิงจะถูกปลุกตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางให้ลุกขึ้นมาช่วยหุงข้าว หาบน้ำ ล้างจาน แบกหามเกินกำลังเด็ก ตกบ่ายซักผ้า เย็นลงกวาดล้างทำความสะอาดเพิง เรียบร้อยแล้วจึงจะได้กินข้าวแข็งๆ แห้งกรังกับน้ำแกงที่เหลือติดก้นหม้อ บางวันซึ่งมีอยู่หลายวันไม่เหลือทั้งข้าวและแกงก็ต้องกินน้ำลูบท้องจนกว่าจะถึงเย็นวันรุ่งขึ้น

เมื่อวานเป็นอีกวันที่ไม่มีอะไรตกถึงท้อง แต่เด็กหญิงกลับไม่หิวเลย มีแต่ความคลื่นเหียนวิงเวียนอยากอาเจียน เพราะจับไข้ตัวร้อนจี๋และกระเพาะอันว่างเปล่าถูกน้ำย่อยแผดเผากัดกิน ขันข้าวในมือหนักอึ้งจนต้องกอดเอาไว้กับอกทั้งๆ ที่ร้อนจนลวกผิวอ่อนๆ แสบร้อนบวมแดง อ่อนแรงจนอยากล้มตัวลงนอนก็ไม่กล้า เพราะถูกสั่งเจ้าของเพิงสั่งให้เฝ้าดูและร้องเรียกเมื่อเห็นพระมาบิณฑบาต

ร่างเล็กแบบบางยืนโงนเงนอยู่ข้างเสา ตาร้อนผ่าวด้วยพิษไข้หรี่ปรือ แต่พยายามกัดฟันสู้ เพราะรู้ว่าถ้าล้มคงถูกทุบตีซ้ำอย่างที่เคยโดนมาแล้วหลายครั้งเวลาลื่นหกล้มทำถ้วยชามแตก ทว่าลมฟ้าหาปรานีไม่ ซ้ำเติมราวกับจะแกล้งด้วยการพัดกระโชกความหนาวเย็นใส่ร่างน้อยไม่เลิกรา

ที่สุดสายตาร่างในผ้าเหลืองเดินพ้นม่านหมอกใกล้เข้ามา ภาพที่มองเห็นได้เพียงลางเรือนพร่าไหว ถึงกระนั้นเด็กหญิงก็ขยับปากจะร้องนิมนต์ แต่ลำคอแห้งเป็นผง ร่างกายก็ปวดร้าวเหมือนจะป่นสลาย ไม่มีแรงแม้จะเปล่งเสียง ด้วยพิษไข้รุมเร้าสุดจะทนไหว ร่างเล็กสิ้นสติล้มลง ขันหลุดมือตกกระทบพื้นดังเปรี้ยงปร้างลั่นถนน ข้าวสวยหกกระจายเต็มพื้นบาทวิถี

คนที่เดินผ่านไปมาหยุดดู บ้างปริเวทนาแสดงความสงสารเป็นคำพูดต่างๆ นานา แต่หามีใครช่วยเหลือไม่ น้ำท่วมหนักในปีพ.ศ. 2460 และฝนแล้งอย่างรุนแรงในปีพ.ศ. 2462 ส่งผลให้ที่นาเสียหาย เกิดภาวะข้าวยากหมากแพง ความอดอยากขาดแคลนแพร่กระจายไปทั่วทุกหัวระแหง ทุกคนต้องดิ้นรนช่วยเหลือตัวเอง ต่างมีจุดหมาย มีภาระหน้าที่จะต้องจุนเจือชีวิตของตนและคนในครอบครัว ปากท้องและทุกข์สุขของเด็กน้อยคนหนึ่งหาใช่กงการของตนไม่

ทว่าคนเราไม่ถึงที่ตายก็ไม่วายชีวาวาตย์...อีกสามวันต่อมาดวงใจฟื้นคืนสติในห้องพยาบาลของโรงเรียนตรงข้ามเพิงอาหาร ครูสาวที่รอรับเด็กๆ หน้าประตูโรงเรียนมองเห็นเหตุการณ์ตอนที่ดวงใจล้มลงหมดสติ เมื่อไม่เห็นมีใครมีน้ำใจช่วยเหลือ แล้วหญิงเจ้าของเพิงยังมายืนชี้หน้าด่าว่าขี้เกียจอู้งานพลางสาดน้ำใส่หน้า ใช้เท้าเขี่ยแรงๆ เกือบเป็นเตะเพื่อปลุกให้ลุกฟื้น วิญญาณความเป็นครูก็ทำให้อดรนทนไม่ได้ ข้ามถนนไปอุ้มเด็กหญิงไปให้ครูใหญ่เพื่อขออนุญาตนำตัวมาดูแลรักษา ไม่สนใจว่านางคนใจดำจะชี้หน้าก่นด่าตามหลัง

ระหว่างช่วยกันเช็ดตัวเช็ดตัวที่สกปรกมอมแมมเพราะไม่ค่อยมีโอกาสได้อาบน้ำ ทั้งครูใหญ่และครูน้อยต้องสลดใจเมื่อพบรอยฟกช้ำดำเขียวที่เกิดจากการทุบตีทารุณทั่วร่างผอมบางเล็กจ้อย ความเวทนาและมนุษยธรรมทำให้สองครูผู้อารีชวนกันเดินข้ามถนนไปคุยกับเจ้าของเพิงอาหาร เสนอให้ดวงใจไปเรียนหนังสือโดยไม่คิดค่าเล่าเรียน โดยคิดว่าถ้าได้ไปโรงเรียนอย่างน้อยเด็กหญิงก็จะได้รับการศึกษา ได้กินอาหารและมีเวลาพักผ่อน ไม่ต้องทำงานหนักตลอดเวลาและถูกทำร้ายจนร่างกายบอบช้ำ ซึ่งถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไปสักวันก็อาจตายคามือคาตีนได้

ตอนแรกหญิงใจร้ายปฏิเสธ ห่วงว่าจะไม่มีคนช่วยทำงาน หนำซ้ำดวงใจยังไม่ทันสร่างไข้ดีนางก็มาลากตัวกลับไปใช้งานที่เพิงเหมือนเดิม “อีเด็กนี่มันเดนคน แม่มันทิ้งไว้เป็นภาระให้อิฉันเลี้ยง หมดไปหลายอัฐกับค่าเสื้อผ้าข้าวปลาอาหาร อิฉันก็ต้องให้มันทำงานแลก เรื่องอะไรจะปล่อยให้ไปเล่นสนุกที่โรงเรียน”

เมื่อผู้ปกครองไม่ยินยอม ครูทั้งสองก็จนใจ ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าข้ามฟากไปส่งข้าวปลาอาหารกับขนมนมเนยให้บ้าง เป็นเช่นนั้นจนกระทั่งวันหนึ่งครูใหญ่ไปทำบุญที่วัดแล้วเปรยเรื่องเด็กหญิงกับเจ้าอาวาสซึ่งเป็นที่เคารพนับถือของคนในละแวกนั้นขึ้นมา

“สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม” ท่านพูดเหมือนจะให้คนฟังปลง แต่แล้วก็เอ่ยตามมาว่า “เมตตาเป็นเครื่องค้ำจุนโลก”

ไม่กี่วันต่อมาหญิงเจ้าของเพิงต้องเปลี่ยนใจเรื่องดวงใจ เมื่อพระครูที่ผู้คนละแวกนั้นล่ำลือกันว่าดูหมอแม่นราวกับตาเห็นผ่านมาบิณฑบาตแล้วทักขึ้นเมื่อเห็นดวงใจ “โยม เลี้ยงเด็กคนนี้ให้ดี ให้กินอิ่มท้อง นอนเต็มตา ได้ศึกษาเล่าเรียน เพราะต่อไปข้างหน้ามันจะเป็นเกียรติเป็นศรี นำลาภก้อนใหญ่มาให้โยม”

วันต่อมาทั้งครูทั้งสองพาดวงใจไปทำบุญและกราบเจ้าอาวาสกับพระนักทำนาย ฝ่ายหลังกล่าวพลางยิ้มน้อยๆ อย่างสำรวม “อาตมาแค่พูดตามที่เห็น”

"ท่านเห็นดวงใจมีชีวิตที่ดีมีความสุขอย่างนั้นหรือคะ" ครูสาวถาม แต่หาได้คำตอบไม่

**********

หลังจากนั้นดวงใจยังต้องทำงานหนักเหมือนเดิม แต่มีอาหารกินและเวลานอนมากขึ้น อย่างน้อยก็ไม่ต้องทนหิวแสบท้องข้ามวัน ได้พักผ่อนนอนกลางวันกับเพื่อนๆ วันละชั่วโมง ก่อนกลับไปผจญงานหนักที่เพิง

เด็กน้อยมีความสุขเหลือล้นที่ได้ไปโรงเรียน แม้จะถูกเด็กนิสัยเสียเกเรบางคนกลั่นแกล้ง แต่ก็ได้เรียนหนังสือ ได้คบหาสมาคมกับเพื่อนวัยเดียวกัน และได้รับการอบรมสั่งสอนจากครูบาอาจารย์ให้รู้จักผิดชอบชั่วดี

ทว่าที่โรงเรียนนี่เองที่ดวงใจได้เรียนรู้จากการเปรียบเทียบกับเพื่อนๆ ว่าชีวิตตนนั้นขาดอะไรบางอย่างที่เด็กอื่นๆ มี นั่นก็คือความรักความอบอุ่นจากครอบครัว เด็กน้อยเฝ้าดูพ่อแม่มารับมาส่งแสดงความรักต่อลูก ได้พังเพื่อนๆ เล่าถึงความอาทรห่วงใยที่พ่อแม่ญาติพี่น้องมีให้กับพวกตนยามเจ็บไข้ พวกเขามีปู่ย่าตายายคอยตามใจ มีพี่น้องเป็นเพื่อนเล่นเพื่อนนอน แม้บางครั้งจะกลั่นแกล้งแย่งของเล่นกัน แต่เดี๋ยวก็ดีกันรักกันเหมือนเดิม ความรักผูกพันพวกเขาไว้ด้วยกัน และเป็นเสมือนเกราะยันต์คุ้มภัยปกป้องชีวิตจิตใจ ในขณะที่ดวงใจไม่มีใครเลย เด็กน้อยรู้สึกเหมือนเดินอยู่คนเดียวกลางป่าที่เต็มไปด้วยสัตว์ร้าย โดดเดี่ยวอ้างว้างและหวาดกลัว

ช่องว่างเล็กๆ เริ่มก่อเกิดขึ้นในหัวใจดวงน้อย และขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ตามกาลเวลา ดวงใจโหยหาปรารถนาความรัก อยากจะรักและเป็นที่รักของใครสักคน อยากมีบ้าน มีครอบครัวที่อบอุ่นและสุขสมบูรณ์ สิ่งเหล่านี้ได้กลายเป็นเป้าหมายในชีวิตที่ดวงใจหมายมั่นจะไขว่คว้ามาให้ได้ เป็นจุดหมายที่จะต้องไปให้ถึง

ทว่าเส้นทางไปสู่จุดหมายเพื่อไขว่คว้าสิ่งที่เป็นยอดปรารถนาของดวงใจนั้นเต็มไปด้วยอุปสรรคขวากหนาม หลายสถานการณ์ชักพาให้ไขว้เขวหลงทาง ความเห็นแก่ตัวและตัณหาของคนรอบข้างผลักดันและบีบคั้นให้หลงผิด แต่เมื่อคืนวันผันผ่าน ได้พบพานทั้งสุขและทุกข์ ดวงใจก็ค้นพบว่าอุปสรรคอื่นใดก็ไม่ร้ายเท่าความอ่อนแอพ่ายแพ้อารมณ์ของตนเอง

นิยายเรื่องอื่นของมาดามเกรย์